Election Wrapped: ย้อนความหลัง ปัญหาเลือกตั้ง 66

ฤดูเลือกตั้งกำลังจะเวียนกลับมาอีกครั้งในปี 2569 แน่นอนว่าเราในฐานะประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็คาดหวังการจัดการเลือกตั้งที่สุจริต ไร้ช่องโหว่ และที่สำคัญที่สุด ไม่เกิดข้อผิดพลาดแบบเดียวที่เคยเกิดกับการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า

ถ้า ‘พฤติกรรม’ การฟังเพลงของเราจะถูกมัดรวมเป็น wrapped ทุกสิ้นปี … ‘วีรกรรม’ ความพลาดในการจัดการเลือกตั้งของ กกต. ก็น่ามัดรวมเป็น wrapped ก่อนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วยเหมือนกัน ว่าไหม? 💥

WeVis ร่วมกับ We Watch ขอชวนคุณท่องไปใน “Election Wrapped” เพื่อระลึกความหลังว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดในปี 2566 เกิด ความผิดพลาด อะไรบ้าง และมารอพิสูจน์กันว่าราว 3 ปีผ่านไป กกต. จะสามารถแก้ไขความผิดพลาดได้อย่างเป็นรูปธรรม หรือจะปล่อยให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย ?

การจัดการเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ มีหลักการอย่างไร ?

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนไปดู ‘สิ่งที่พลาด’ เรามาเห็นภาพ ‘สิ่งที่ควรจะเป็น’ กันก่อนดีกว่า

บนโลกนี้มีหลักการที่ชื่อว่า หลักการจัดการเลือกตั้ง (Election Management) ซึ่งสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อความช่วยเหลือด้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง (International IDEA) ได้ประยุกต์มาจาก กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ข้อ 25 ที่ว่า พลเมืองทุกคนต้องมีสิทธิออกเสียงในการเลือกตั้ง เพื่อประกันการแสดงเจตจำนงโดยเสรีของตน”

หลักการจัดการเลือกตั้งถือเป็น ‘เสาหลัก’ ที่องค์กรจัดการเลือกตั้ง (Election Management Body) ต้องยึดถือเพื่อจัดการเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยุติธรรม เพื่อคุ้มครองสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของ Voter ทุกคนตาม ICCPR นี้นั่นเอง

หลักการจัดการเลือกตั้งมีด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่

  1. 💡 รู้สิทธิ: Voter ทุกคนต้องได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้ง รวมถึงสิทธิที่ตัวเองมีอย่างเพียงพอ เช่น ข้อมูลผู้สมัคร ข้อมูลข้อห้าม-ข้อปฏิบัติในวันเลือกตั้ง ตลอดจนข้อมูลในบัตรเลือกตั้ง
  2. 🚶‍♀️ เข้าถึงสิทธิ: Voter ทุกคนต้องได้ลงคะแนนเสียงแม้จะมีอุปสรรค เช่น ติดธุระ ป่วยเข้าโรงพยาบาล หรือเป็นผู้พิการ
  3. 🗳️ ทุกเสียงถูกนับ: คะแนนเสียงของ Voter ทุกคนต้องถูกนับ

ถามว่าไทยเกี่ยวข้องอย่างไรกับหลักการนี้ ..?

ข้อเท็จจริงคือ ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของ ICCPR นั่นหมายความว่า พลเมืองไทยอย่างเรา ๆ ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิออกเสียงเลือกตั้งนี้ด้วยเช่นกัน และเท่ากับว่า องค์กรจัดการเลือกตั้งของประเทศไทยอย่าง กกต. ก็ต้องรับประกันสิทธิข้อนี้ของเราทุกคน ด้วยการจัดการเลือกตั้งตามหลักการทั้งสามประการข้างต้น

แต่ทว่า การเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา กลับมีหลายกรณีที่ Voter ถูกทำให้ ไม่รู้สิทธิ เข้าไม่ถึงสิทธิ หรือแม้แต่ (เสี่ยง)ไม่ถูกนับคะแนนเสียง ไปเสียอย่างนั้น

เอาล่ะ มาเริ่มขุด เอ้ย! ระลึกความหลังกันเลยดีกว่า ว่า กกต. ได้ละเลยหลักการจัดการเลือกตั้งแต่ละประการไปอย่างไรบ้าง

… ขอเน้นย้ำว่านี่เป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ของปัญหา เท่าที่ได้รับรายงานมา เท่านั้น

💡❌ ไม่ รู้สิทธิ: ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ไม่เพียงพอ

1. ไม่ประชาสัมพันธ์สื่อความรู้แบบเชิงรุก

ยิ่งเห็น ยิ่งรู้ ยิ่งผ่านหูข้อมูลมาก ยิ่งช่วยประชาชนให้ได้เตรียมพร้อมเข้าคูหาเลือกตั้ง อีกทั้งไม่ทำให้ตนเสียสิทธิโดยไม่ตั้งใจ 💥แต่ทว่า…

  • สื่อต่าง ๆ ของ กกต. เน้นเผยแพร่เพื่อ ‘ให้มี’ แต่ไม่พุ่งเป้าไปให้ประชาชน ‘ได้เห็น’ เช่น
    • วิดิโอประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งของ กกต. มียอดคนดูเพียงหลักร้อยถึงหลักพัน
    • ความร่วมมือเพื่อประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งทางแอพ Line เป็นเพียงการนำเสนอภาพอินโฟกราฟิก แต่ไม่มีการแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบถึงวันเลือกตั้ง
    • สำหรับการเข้าถึง Voter ที่เป็นผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน แม้จะมีสื่อประชาสัมพันธ์แบบพิมพ์แจก (เช่น แผ่นพับ) แต่ กกต. กลับไม่เน้นกระบวนการเชิงรุกอย่างการจัดสรรเจ้าหน้าที่ไปบรรยายให้ความรู้กับ Voter โดยตรง เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในการเลือกตั้ง วิธีการกาบัตรเลือกตั้ง และข้อควรรู้อื่น ๆ

2. ประชาสัมพันธ์เลือกตั้งซ่อมไม่มากพอ จนบางคนเผลอนอนหลับทับสิทธิ

พบกรณีผู้สมัครเลือกตั้ง สว. หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองขาดคุณสมบัติเพราะไม่ได้ไปเลือกตั้งซ่อม เนื่องจากไม่รู้ว่ามีการเลือกตั้งซ่อมในเขตเลือกตั้งของตน ซึ่งอาจสะท้อนว่า กกต. ให้ข้อมูลหรืออำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อมได้ไม่ดีพอ

3. คู่มือเลือกตั้งฉบับอักษรเบรลล์มีจำนวนน้อย ข้อมูลก็น้อย

ผู้พิการ ต้องสามารถ ‘รู้สิทธิ’ ได้เท่าเทียมกับผู้ที่ไม่พิการ 💥แต่ทว่า…

  • กกต. จัดพิมพ์คู่มือเลือกตั้งฉบับอักษรเบรลล์ออกมาเพียง 1,000 เล่ม และแจกจ่ายไปยังส่วนงานต่าง ๆ เพียงแห่งละ 2-3 เล่มเท่านั้น
  • คู่มือเลือกตั้งฉบับอักษรเบรลล์ มีข้อมูลเพียง ‘วิธีการลงคะแนน’ และ ‘ข้อควรระวัง’
    • เมื่อเทียบกับคู่มือเลือกตั้งฉบับทั่วไป ข้อมูลในคู่มือเลือกตั้งฉบับอักษรเบรลล์มี ข้อแตกต่าง ซึ่งส่งผลให้ผู้พิการ ‘รู้สิทธิ’ ได้อย่างจำกัด ได้แก่
      • ไม่ระบุรายชื่อผู้สมัครและหมายเลขของทุกเขตเลือกตั้งอย่างละเอียด ทำให้ผู้พิการทางสายตาไม่ทราบว่าหมายเลขไหนเป็นของใครในเขตตนเอง หากไม่มีคนช่วยอ่านให้ฟัง
      • โลโก้และสัญลักษณ์พรรค ถูกแปลเป็นตัวอักษรที่จำกัด ทำให้ยากต่อการสร้างภาพจำ (Mental Image) เกี่ยวกับพรรคการเมือง
      • ไม่ระบุนโยบายสำคัญโดยย่อของแต่ละพรรค

4. ประกาศหน้าหน่วยเลือกตั้ง ไม่ติดบ้าง รีบเก็บบ้าง ข้อมูลก็หายบ้างผิดบ้าง

การปิดประกาศเอกสารสำคัญหน้าหน่วยเลือกตั้ง นอกจากจะช่วยให้ประชาชนทำความเข้าใจการใช้สิทธิเลือกตั้งได้อย่างครบถ้วน ยังเป็นเครื่องแสดงความโปร่งใสของการจัดการเลือกตั้งอีกด้วย 💥แต่ทว่า…

  • ประกาศที่ควรติดอยู่ที่หน้าหน่วยเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ประกาศรายการเกี่ยวกับจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ได้รับมาก่อนลงคะแนน ประกาศรายการเกี่ยวกับจำนวนบัตรเลือกตั้งหลังการลงคะแนน และประกาศรายการเกี่ยวกับผลการนับคะแนนเลือกตั้ง พบความผิดปกติคือ
    • ไม่ปิดประกาศที่หน้าหน่วยเลือกตั้ง
    • ปิดประกาศในจุดที่ประชาชนไม่สามารถเดินเข้าไปดูได้
    • ปิดประกาศโดยไม่ระบุรายละเอียด หรือระบุรายละเอียดผิด
    • เก็บประกาศไว ผู้สังเกตการณ์ไม่ทันได้ถ่ายภาพเป็นหลักฐาน

5. บัตรเลือกตั้งที่ออกแบบมาเสี่ยง ‘กาพลาด’

เมื่อเข้าคูหาไป Voter ควรได้แน่ใจว่า คนหรือพรรคที่ตนกาลงคะแนนไป ถูกต้องตามเจตจำนงของตัวเอง หรือพูดง่าย ๆ คือ ‘กาไม่ผิดตัว’ 💥แต่ทว่า…

  • บัตรเลือกตั้งปี 2566 มีถึง 2 ใบ (แบ่งเขตและปาร์ตี้ลิสต์) แต่ในบัตรเลือกตั้ง แทบไม่ให้รายละเอียดไปมากกว่าหมายเลขและช่องกา อีกทั้ง สส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ (พรรค) ก็ไม่ได้ใช้หมายเลขเดียวกัน ทำให้ Voter ต้องจำหมายเลขของทั้งคนทั้งพรรคเข้าไปหาในคูหา ซึ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาด

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาการออกแบบบัตรเลือกตั้งให้ต้อง “จำเข้าไปกา” และ ‘ข้อจำกัด’ ในการแก้ปัญหาตามที่ กกต. อ้าง ที่ https://wevis.info/ballotproblems/

6. พบกรณีบัตรเลือกตั้งสีเพี้ยน

  • บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต (สีม่วง) บางใบมีสีม่วงเข้มมาก บางใบมีสีม่วงอ่อนจนเกือบเป็นสีชมพู หรือสีฟ้าหม่น ส่วนบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ (สีเขียว) บางใบมีสีเขียวเข้มสดมาก บางใบมีสีเขียวอ่อนหรือเขียวขี้ม้าหม่น ๆ ปัญหาที่ตามมาคือ
    • Voter เกิดความกังวลว่าอาจมีการปลอมแปลงบัตรเลือกตั้ง หรือเป็นบัตรที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่อาจกลายเป็นบัตรเสียในภายหลัง
    • เนื่องจากมีบัตรเลือกตั้งมากกว่า 1 ใบ Voter จึงต้องอาศัยการจำประเภทบัตรเลือกตั้งจากสี ดังนั้น เมื่อบัตรเลือกตั้งสีเพี้ยน ก็สามารถสร้างความสับสนในคูหาได้

🚶‍♀️❌ เข้าไม่ ถึงสิทธิ: การไปเลือกตั้งที่ลำบากอย่างที่ไม่ควรจะลำบาก

1. ระบบลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้ามีข้อผิดพลาด

หากต้องการเลือกตั้งล่วงหน้า Voter จะต้องลงทะเบียนทางเว็บไซต์ แอพลิเคชั่น หรือยื่นเอกสารต่อนายทะเบียนท้องถิ่น เรียกได้ว่า การลงทะเบียนคือด่านแรกเพื่อเข้าถึงสิทธิการเลือกตั้งล่วงหน้า 💥แต่ทว่า…

  • เว็บไซต์ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าล่มในวันสุดท้ายก่อนปิดลงทะเบียน
    • ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ กกต. ขาดการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้สิทธิ ‘ทยอย’ ไปลงทะเบียน ไม่กระจุกกันลงในวันใกล้ปิดลงทะเบียนที่เสียงทำให้เว็บล่ม

นอกจากนี้ กกต. ก็ไม่ได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น อีกทั้งในเวลาต่อมา กกต. ยังสรุปตัวเลขผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าหลังวันเลือกตั้งล่วงหน้า (8 พฤษภาคม 2566) ไม่ตรงกับที่สรุป ณ วันปิดรับลงทะเบียน (12 เมษายน 2566) ซึ่งทำให้กังขาต่อความโปร่งใส

2. หากลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว จะไปเลือกวันจริงไม่ได้

ระบบทะเบียนเลือกตั้งไม่มีความยืดหยุ่น เนื่องจากหากลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว สิทธิในการไปเลือกตั้งวันจริงจะถูกตัดไปจากเขตตามทะเบียนบ้านโดยอัตโนมัติ ทำให้หากไม่สะดวกไปเลือกตั้งล่วงหน้ากะทันหัน ก็ไม่สามารถไปเลือกตั้งในวันจริงได้

3. ขาดการอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการ

สำหรับผู้พิการ พวกเขาไม่ใช่แค่ต้อง ได้เลือกตั้ง แต่ต้อง ได้เข้าไปเลือกตั้ง อย่างสะดวกสบาย รวมทั้งได้แสดงเจตจำนงของตัวเองอย่างแท้จริง 💥แต่ทว่า…

ไม่ใช่เฉพาะการเลือกตั้ง 66 แต่การเลือกตั้งครั้งถัดมาอย่างการเลือกตั้ง สว. ในปี 2567 กกต. ก็ยังทำผิดพลาดซ้ำสองในเรื่องเดิม จากกรณีคุณอรรถพล ศรีชิษนุวรานนท์ ผู้ใช้วีลแชร์ ที่ประสบอุบัติขณะเคลื่อนย้ายขึ้นลงบันไดในหน่วยเลือกตั้ง

🗳️ ❌ บางเสียง (เสี่ยง) ไม่ ถูกนับ: การจัดส่งบัตรและนับคะแนนที่เต็มไปด้วยข้อกังขา

1. กปน. ทำบัตรเลือกตั้งขาดขณะฉีกออกจากเล่ม

และไม่เปลี่ยนใบให้ใหม่ ทำให้กังวลว่าบัตรจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นบัตรเสีย

2. กปน. ขีดคะแนนและรวมคะแนนผิด

3. สถานที่นับคะแนนมืดเกินไป

ทำให้มองไม่ชัด ตรวจสอบยาก

4. ปัญหาการเขียนจ่าหน้าซองบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า

บัตรเลือกตั้งล่วงหน้า จะต้องบรรจุใส่ซองเพื่อส่งไปนับคะแนนที่เขตเลือกตั้งตามภูมิลำเนา ขั้นตอนการจัดส่งบัตรกลับไปนับคะแนนจึงต้องไม่เกิดความผิดพลาด เพื่อไม่ให้บัตรทั้งซองกลายเป็นบัตรเสีย อีกทั้งต้องไม่มีช่องโหว่ให้กับการทุจริต 💥แต่ทว่า…

  • กปน. บางหน่วย เขียนหมายเลขเขตเลือกตั้งบนซองใส่บัตรเลือกตั้งล่วงหน้าผิด หากทักท้วงไม่ทัน ก็จะทำให้บัตรส่งไปไม่ถึงภูมิลำเนา และถูกนับเป็นบัตรเสียทั้งหมด
  • กปน. บางหน่วย ไม่เขียนจ่าหน้าซองต่อหน้าผู้สังเกตการณ์ และแจ้งว่า “เดี๋ยวเขียนให้” ซึ่งเสี่ยงต่อการทุจริต เพราะอาจอาจจงใจเขียนจ่าหน้าซองผิดเพื่อไปนับเป็นคะแนนของเขตเลือกตั้งอื่นได้

5. บัตรหลายใบถูกวินิจฉัยว่าเป็นบัตรเสียอย่างน่ากังขา เช่น

  • กากบาทเลยช่องมาแค่นิดเดียว
  • กาโดยมีรอยตัดมากกว่า 1 จุด
  • กาย้ำจนเส้นบวม
  • มีจุดตรงกลางกากบาท

6. ปัญหาการจัดส่งบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร

การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรในหลายประเทศใช้การเลือกตั้งผ่านทางระบบไปรษณีย์ นั่นคือ สถานทูตหรือสถานกงสุลจะส่งบัตรเลือกตั้งไปให้ Voter จากนั้น Voter จะต้องส่งบัตรเลือกตั้งกลับมาที่สถานทูตหรือสถานกงสุล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งกลับมานับคะแนนที่ประเทศไทยต่อไป การส่งบัตรแต่ละขั้นให้ทันเวลาจึงสำคัญมาก เพื่อไม่ให้บัตรเลือกตั้งนั้นกลายเป็นบัตรเสีย 💥 แต่ทว่า…

  • บางสถานทูตส่งบัตรเลือกตั้งให้กระชั้นชิดเกินไป และเมื่อ Voter จะส่งกลับให้สถานทูต ไปรษณีย์ก็หยุดวันแรงงาน
  • ไม่มีระบบแจ้งข้อมูลการจัดส่งบัตรเลือกตั้ง ทั้งในตอนที่สถานทูตส่งมาและส่งกลับไปที่สถานทูต จึงต้องใช้การค้นหา tracking number ด้วยตนเอง
  • ไม่สามารถตรวจสอบสถานะการส่งบัตรกลับประเทศไทย

ข้อเสนอสำหรับองค์กรจัดการเลือกตั้ง — ที่ไม่เห็นความสำคัญของสิทธิเลือกตั้งเสียเอง 😮‍💨

การที่ประชาชนถูกทำให้ ไม่รู้สิทธิ เข้าไม่ถึงสิทธิ และ บางเสียง (เสี่ยง)ไม่ถูกนับ ไม่เพียงแต่ตอกย้ำว่า กกต. ไม่ได้ยึดถือ หลักการจัดการเลือกตั้ง แต่ยังสะท้อนถึง ‘การละเลยความสำคัญของสิทธิเลือกตั้ง’ ไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

เพราะถ้ากกต. ให้ความสำคัญกับสิทธิเลือกตั้ง … กกต. จะออกแบบกระบวนการให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างรอบด้าน เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างเพียงพอ และสามารถเข้าไปใช้สิทธิได้ตามเจตจำนง ไม่นอนหลับทับสิทธิหรือเกิดความผิดพลาดเพราะความไม่รู้

เพราะถ้า กกต. ให้ความสำคัญกับสิทธิเลือกตั้ง… กกต. จะออกแบบกระบวนการและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ได้เข้าถึงการเลือกตั้งโดยปราศจากอุปสรรค แม้จะมีข้อจำกัดในการเดินทาง หรือข้อจำกัดทางร่างกาย

เพราะถ้า กกต. ให้ความสำคัญกับสิทธิเลือกตั้ง… กกต. จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าบัตรทุกใบ เสียงทุกเสียง จะถูกนับ

😫

พอมองย้อนกลับมามองความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ก็อยากถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมนะทำไม องค์กรที่ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง กลับเป็นองค์กรที่ละเลยความสำคัญของสิทธิเลือกตั้งเสียเอง!

ดังนั้น เพื่อให้ประวัติศาสตร์ความผิดพลาดไม่ซ้ำรอย ไม่ว่าจะในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือครั้งไหน การถอดรื้อทัศนคติ ‘การละเลยความสำคัญของสิทธิเลือกตั้ง’ ของ กกต. คือก้าวที่สำคัญที่สุด เราในฐานะภาคประชาสังคม จึงมีข้อเสนอต่อ กกต. ต่อการจัดการเลือกตั้ง ดังนี้

การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

ปฏิรูปที่มาของ กกต. ให้ยึดโยงกับประชาชน

ปัจจุบัน กกต. มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด ซึ่งพาให้กังขาถึงความเชี่ยวชาญ ความโปร่งใสตรวจสอบได้ ตลอดจนความยึดโยงกับประชาชน ดังนั้น เพื่อให้ กกต. ปฏิบัติหน้าที่โดยมีประชาชน — และสิทธิเลือกตั้งของประชาชน — เป็นที่ตั้ง จึงควรปฏิรูปที่มาของ กกต. ได้แก่

  • กกต. ควรมีที่มาจาก กระบวนการสรรหาแบบเปิด
    • กกต. ควรถูกสรรหาโดยกลุ่มผู้นำตุลาการและองค์กรอิสระ เพื่อให้มีสัดส่วนผู้แทนจากภาคส่วนที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น
      • ภาควิชาการ เช่น ตัวแทนคณบดีคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์
      • ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมาย เช่น ตัวแทนจากสภาทนายความ
      • ภาคประชาสังคม เช่น ตัวแทนจากองค์กรที่ทำงานด้านการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง
    • โดยกระบวนสรรหาต้องเป็น แบบเปิด นั่นคือ มีการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ผ่านการถ่ายทอดสด และเปิดให้สาธารณะส่งข้อมูลทักท้วง (Public Scrutiny) ได้ก่อนคณะกรรมการสรรหาลงมติเลือก
  • คุณสมบัติของผู้สมัคร กกต. ที่ควรได้รับการกำหนดอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เช่น
    • ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
    • การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน
    • ความเป็นกลางทางการเมือง
  • ประชาชนต้องสามารถเข้าชื่อเพื่อถอดถอน กกต. ได้โดยตรง
    • เพราะปัจจุบันหากต้องการร้องเรียน กกต. ประชาชนทำได้เพียงฟ้องร้องด้วยข้อหา ‘ประพฤติมิชอบ’ ซึ่งต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสินความผิดอีกขั้น

แก้ไขและตีความกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ให้ถือเอาเจตจำนงของประชาชนเป็นสำคัญ

‘เจตจำนงต้องอยู่เหนือวิธีการ’ กล่าวคือ กกต. ต้องไม่ตีความให้การแสดงเจตจำนงในการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนถูกละเลยไป แม้การกระทำนั้นจะไม่ตรงกับสิ่งที่เขียนไว้ในระเบียบร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น

  • การกากบาทเลยช่อง ควรถูกตีความว่าเป็นการแสดงเจตจำนงว่าเรา ‘เลือก’ ผู้แทนผู้นั้น ไม่ใช่ ‘ความผิดพลาด’ ที่ส่งผลเจตจำนงนั้นกลายเป็นบัตรเสีย
  • การอนุญาตให้ผู้แทนที่ได้รับความไว้วางใจ เข้าไปในคูหาร่วมกับ Voter ที่เป็นผู้พิการ เพื่อกาบัตรเลือกตั้งแทน ควรถูกตีความว่าเป็น ‘การรักษาสิทธิ’ ไม่ใช่ ‘การทุจริตกาแทน’

กกต. ต้องยึดถึงหลักการ ‘เจตจำนงต้องอยู่เหนือวิธีการ’ ทั้งในการเขียนกฎหมายและระเบียบการเลือกตั้ง รวมถึงการวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงเลือกตั้ง

‘การตระหนักถึงคุณค่าของการเลือกตั้ง’ ต้องเป็นวัฒนธรรมองค์กรของ กกต.

กกต. ต้องยึดถือเสมอว่าการเลือกตั้งเป็นมากกว่าการกากบาทและหย่อนลงหีบ แต่เป็นสิ่งที่มี ‘มีคุณค่า’ ต่อระบอบประชาธิปไตยและชีวิตพลเมือง นั่นเพราะว่า…

  • การเลือกตั้งคือเครื่องมือที่สันติที่สุดเพื่อเปลี่ยนผ่านอำนาจ
  • การเลือกตั้งสามารถสร้างการมีส่วนร่วมแบบฉันทามติ
  • การเลือกตั้งสามารถทลายความแตกต่างเหลื่อมล้ำ เพราะทุกคนมี ‘หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง’ เท่ากัน

การตระหนักถึงคุณค่าของการเลือกตั้งต้องถูกยกให้เป็น วัฒนธรรมองค์กรของ กกต. เพื่อให้การออกแบบการเลือกตั้ง ตลอดจนการออกกฎหมายหรือระเบียบ ตั้งอยู่บนฐานที่มุ่งหมายให้ประชาชน รู้สิทธิ เข้าถึงสิทธิ และเสียงทุกเสียงถูกนับ อยู่เสมอ

การแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติ

💡✅ ให้ประชาชน ‘รู้สิทธิ’ มากขึ้นด้วยการ สื่อสารอย่างมีมาตรฐาน ชัดเจน ทั่วถึง และเท่าเทียม

  • มีมาตรฐานในการเปิดเผยข้อมูล
    • มาตรฐาน หมายถึง การระบุอย่างชัดเจนว่า กกต. ต้องเปิดข้อมูลอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ในรูปแบบใด และสื่อสารกับสาธารณะอย่างไร
    • รูปแบบการเปิดเผยข้อมูล ควรให้เป็นไปตามมาตรฐานข้อมูลเปิดสากล (DGA)
  • สื่อสารต่อประชาชนอย่างชัดเจน
    • การดำเนินการป้องกันการสื่อสารผิดพลาด (Pre-Crisis) เช่น กำหนดทีมโฆษก และจัดให้มีแหล่งข้อมูลทางการเพียงหนึ่งเดียว (Single Source of Truth)
    • การดำเนินการแก้ไขเมื่อสื่อสารผิดพลาด (Crisis Response) เช่น การชี้แจงอย่างเป็นทางการทันที การเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา
  • จัดการประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงและเท่าเทียม
    • ทำงานร่วมกับสื่อท้องถิ่น Influencer และภาคประชาสังคมที่หลากหลาย
    • ทำงานร่วมกับบริษัทด้านเทคโนโลยีเพื่อลดการสร้าง Echo Chamber เพื่อนำเสนอข้อมูลจากแหล่งที่มาที่หลากหลายมากขึ้น

🚶‍♀️✅ ให้ประชาชน ‘เข้าถึงสิทธิ’ มากขึ้นด้วย บริการหน่วยเลือกตั้งถึงที่ (Mobile Unit)

ในต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย จะมีเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการหน่วยเลือกตั้งถึงที่ สำหรับ Voter ที่ไม่สามารถเดินทางไปที่คูหาได้ในวันเลือกตั้งทั่วไป เช่น Voter ที่แอดมิทอยู่ในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่จะจัดให้มีม่านกั้นขณะกาบัตรเลือกตั้งที่เตียง จากนั้นก็จะเก็บบัตรไปนับคะแนนที่เขตเลือกตั้งต่อไป

การจัดบริการหน่วยเลือกตั้งถึงที่ เป็นหนึ่งวิธีที่ควรนำมาปรับใช้เพื่อรับรองให้ประชาชนได้เข้าถึงสิทธิได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

🗳️✅ ป้องกันบัตรเสียเพื่อให้ ‘เสียงทุกเสียงถูกนับ’ ด้วย เครื่องเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์

แม้ กกต. จะเคยมีความพยายามจัดให้มีเครื่องเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องยอมรับว่าเครื่องมือไม่ถูกพัฒนาให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพอย่างที่ควร บวกกับเผชิญข้อกังขาว่า การให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์นับคะแนนจะไม่แม่นยำเท่ากับใช้การคนนับ อย่างไรก็ตาม ข้อดีสำคัญของการใช้เครื่องเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ควรมองข้ามไป นั่นคือ

  • การลงคะแนนด้วยการ ‘กดปุ่ม’ แทนการ ’กา’ เป็นหนึ่งวิธีขจัดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) ที่ทำให้เกิดบัตรเสียได้ เช่น กาพลาด บัตรฉีก และอื่น ๆ
  • มีปุ่มอักษรเบรลล์ปรากฏบนตัวเครื่อง พร้อมมีเสียงอธิบายวิธีการเลือกตั้งระหว่างลงคะแนน ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการ

ดังนั้น เพื่อรับประกันว่าเสียงทุกเสียงจะถูกนับ กกต. ควรพิจารณาการใช้และพัฒนาคูหาเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มีประสิทธิภาพ พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนว่าเสียงที่ถูกลงคะแนนผ่านเครื่องมือนี้จะถูกนับอย่างแม่นยำมากที่สุด

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ที่ https://wevis.info/e-voting-in-election/

💭 ทำงานร่วมกับภาคประชาชนและสื่อมวลชนที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน

  • กกต. ควรร่วมมือกับหน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านการเปิดเผยและรายงานข้อมูล การสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ตลอดจนการป้องกันและรับมือกับข่าวปลอม เพื่ออุดช่องโหว่ของการจัดการเลือกตั้งอย่างรอบด้าน
  • ควรจัดให้มีเวทีถกเถียงสาธารณะระหว่าง กกค. และภาคประชาชนเกี่ยวกับปัญหาการจัดการเลือกตั้งอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดการรับรู้ และแลกเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาในระยะยาว ไม่ถูกละเลยจนต้องมา ‘แก้หน้างาน’ ในฤดูเลือกตั้ง หรือถูก ‘ปล่อยผ่าน’ จนกระทั่งประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ที่กำลังจะถึง ความผิดพลาดในการจัดการเลือกตั้ง ไม่ใช่แค่เป็น ‘สิ่งที่ไม่ควรเกิด’ ในวันที่ประชาชนต้องออกมาแสดงเจตจำนงของตน แต่ยังเป็น ‘สิ่งที่ไม่ควรเกิดซ้ำ’ ในเมื่อ กกต. มีเวลา ราว 3 ปี เพื่อหาทางอุดช่องโหว่ทั้งหมดทั้งมวลนี้

เราจะจับตา และคาดหวังอย่างยิ่งว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย เพราะนั่นคือเครื่องสะท้อนที่ดีที่สุดว่า กกต. ได้ถอดรื้อทัศนคติ ‘การละเลยความสำคัญของสิทธิเลือกตั้ง’ อันเป็นสิ่งที่หน่วยงานที่แบกคำว่า ‘เลือกตั้ง’ อยู่ในชื่อ ไม่ควรยึดถืออยู่ตั้งแต่ต้น

แหล่งข้อมูล

WeVis ขอขอบคุณคุณพงษ์ศักดิ์ จันทร์อ่อน ผู้อำนวยการ We Watch และคณะ สำหรับการให้คำปรึกษาและแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับหลักการการจัดการเลือกตั้ง (Election Management) กรณีตัวอย่างปัญหาการจัดการเลือกตั้งปี 2566 และข้อเสนอแนะต่อ กกต. เพื่อปฏิรูปการจัดการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพ ไว้ ณ ที่นี้