TicTec 2025: เมื่อเทคโนโลยีไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย

เป็นปีที่ 2 แล้ว ที่ทีม WeVis ได้รับโอกาสให้เข้าร่วม TicTec งานประจำปีที่ Civic Tech ทั่วโลกมารวมตัวกัน แต่งานนี้ไม่ใช่แค่มาอัปเดตเทรนด์หรือดูสไลด์สวยๆ แต่คือการได้เจอคนที่มีความเชื่อและความสนใจว่าเทคโนโลยีช่วยป้องกันและส่งเสริมประชาธิปไตยได้จริง

คนที่มารวมตัวกันมีความหลากหลายมาก ทั้งจากวงการวิชาการ, Civic Tech Startup, Big Tech, หน่วยงานรัฐ, และองค์กรเอกชน แต่ทุกคนเชื่อมโยงกันด้วยความเชื่อที่ว่า Civic Tech น่าจะเป็นคำตอบสำคัญสำหรับอะไรบางอย่างในสังคม โดยที่ธีมหลักในงาน TicTec2025 นี้คือ Pro-democracy Tech หรือเทคโนโลยีเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งจริงๆ แล้วแบ่งได้เป็นสองสายหลักที่สำคัญกับงาน Civic Tech คือ สาย defensive กับ constructive

ฝั่ง Defensive เน้นปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของประชาชน เช่น เครื่องมือเข้ารหัส ป้องกันการสอดแนม หรือระบบแจ้งเบาะแส ส่วนฝั่ง Constructive จะเน้นสร้างพื้นที่ใหม่ให้คนได้มีส่วนร่วม เช่น แพลตฟอร์มเสนอร่างกฎหมาย ระบบติดตามงบ หรือช่องทางพูดคุยกับภาครัฐแบบเปิดๆ งาน civic tech ที่ดีมักต้องมีสองขานี้ควบกัน คือทั้ง “อยู่รอด” และ “ขยายอำนาจพลเมือง” ไปพร้อมๆ กัน

พอแบ่งแบบนี้ การวางกลยุทธ์ Stakeholder และเรื่องการหาทุนก็ต้องแยกให้ชัด เช่น มีคนเสนอว่าฝั่ง Defensive จะทำงานใกล้ชิดกับ NGO นักกิจกรรม นักข่าว ต้องใช้ภาษาความไว้วางใจ ความปลอดภัย เน้นความลึกมากกว่าความแมส ส่วนฝั่ง Constructive มักคุยกับหน่วยงานรัฐ อปท. หรือมหาวิทยาลัย ต้องวางตัวเป็นตัวกลาง สื่อสารแบบสร้างสรรค์ ชวนทำร่วมกัน เพราะฉะนั้น civic tech ที่ดีต้องรู้จังหวะว่าเวลาไหนควร “ต้าน” เวลาไหนควร “ชวนร่วมสร้าง” เพื่อไม่ให้ stakeholder คนละฝั่งเข้าใจผิด หรือถอยห่างไปเลย

เรื่องการหาทุนก็คล้ายกัน ถ้าจะคุยกับสายสิทธิมนุษยชน ต้องเน้นผลกระทบต่อเสรีภาพ ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน แต่ถ้าเจอกองทุนที่เน้นระบบ governance หรือการมีส่วนร่วมเขาอาจจะอยากเห็น civic tech ที่ขยายต่อยอดได้ มีโมเดลรายได้ หรือวัดผลได้จริงๆ หลายครั้ง โครงการเดียวเล่าได้ทั้งสองแบบ เช่น แพลตฟอร์มร้องเรียนรัฐ — ฝั่งรัฐเห็นว่าเป็นเครื่องมือรับฟัง ฝั่งประชาชนเห็นว่าเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิ ถ้ารู้จัก Framing ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย Civic Tech จะยืนระยะได้ดีขึ้น ไม่ต้องพึ่งแต่ grant และเชื่อมคนหลายฝั่งได้แบบไม่หลุดธีม

เมื่อ Techno-oligarchs มีอำนาจเหนือรัฐ และความท้าทายด้าน Tech Governance

งานนี้ยังพูดถึงบทบาทของ Techno-oligarchs หรือกลุ่มมหาเศรษฐีเทคโนโลยีที่ไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่กลับมีอำนาจแบบ “รัฐ” อยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ แถมยังมีช่องทางสื่อเป็นของตัวเอง ใช้สื่อสารกับสาธารณะได้โดยตรงข้ามหัวสื่อหลักหรือรัฐ และบางคนก็เริ่มแสดงบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจ, การทูต หรือแม้แต่ความมั่นคงระดับภูมิภาค

พูดให้เข้าใจง่ายๆ เลยคือ “พวกเขาเป็นรัฐเองโดยไม่ต้องมีรัฐ” แต่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง ไม่ถูกตรวจสอบแบบนักการเมือง และไม่มี checks & balances ที่เพียงพอ อำนาจของพวกเขาสร้างขึ้นจากโครงสร้างที่เราทุกคนใช้อยู่ทุกวัน เช่น อินเทอร์เน็ต, คลาวด์, อัลกอริทึม, AI และข้อมูลของเราเอง กลายเป็นว่าการตัดสินใจของคนไม่กี่คนมีผลกับความเป็นส่วนตัว, เสรีภาพ และระบบประชาธิปไตยโดยรวม

ทั้งหมดนี้จึงชวนให้เราต้องพูดเรื่อง Tech Governance อย่างจริงจัง — ทั้งในระดับประเทศ (เช่น การออกกฎหมายควบคุมข้อมูลหรือ AI) และระดับโลก (เช่น ความร่วมมือระหว่างรัฐและองค์กรระหว่างประเทศเพื่อคุมแพลตฟอร์มข้ามชาติ) เพราะถ้าไม่ออกแบบระบบกำกับให้ดี อำนาจเทคโนโลยีจะยิ่งกระจุกตัวในมือคนไม่กี่กลุ่ม โดยที่ประชาชนไม่มีสิทธิเข้าร่วมในการกำหนดอนาคตดิจิทัลของตัวเองเลย

ความยั่งยืนทางการเงินและอนาคตของ Public Interest Tech

นอกจากเรื่องเทคโนโลยีและการเมือง งานนี้ยังพูดถึงประเด็น Financial Sustainability (ความยั่งยืนทางการเงิน) ของงาน Civic Tech ที่หลายคนให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะถึงแม้จะมี funding จาก donor หรือ grant อยู่ แต่ก็เริ่มมีคำถามว่าเราจะอยู่รอดได้ยังไงในระยะยาวโดยไม่ต้องวิ่งหาเงินทุกปี แม้คำตอบยังไม่ชัดมาก แต่บทสนทนาเริ่มขยับจากแค่ “หาเงินได้จากไหน” ไปสู่ “จะสร้างระบบการเงินแบบไหนให้ยั่งยืน”

มีการพูดถึง Impact Investment Industry ว่าอาจเป็นพื้นที่ใหม่ที่ Civic Tech เข้าไปมีบทบาทได้ ถ้าออกแบบโมเดลธุรกิจให้วัดผลกระทบทางสังคมได้จริง และมีช่องทางรายได้ที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามใหญ่ๆ ถึง “อนาคตของการเงินสำหรับของสาธารณะ (Public Interest Tech)” ว่าจะต้องไม่เป็นแค่เงินจากรัฐหรือ donor แต่ต้องออกแบบให้ระบบรองรับคนทำงานด้านนี้ได้จริง เพราะถ้าเราอยากให้ Civic Tech อยู่ได้นานและสร้างผลกระทบได้ต่อเนื่อง ระบบการเงินที่ดีคือตัวช่วยที่ต้องคิดไปพร้อมกับการออกแบบเทคโนโลยี

Red Queen Problem และการปรับตัวของกฎหมายในโลกที่หมุนเร็ว

นอกจากการอัปเดตโปรเจกต์หรือแชร์ไอเดียเทคโนโลยีใหม่ๆ งานนี้ยังมีมุมคุยกันจริงจังเรื่อง กฎหมายและกติกา โดยเฉพาะประเด็นอย่าง Red Queen Problem — แนวคิดที่ว่ากฎหมายหรือระบบกำกับดูแลต้องวิ่งให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจะตามให้ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เห็นชัดถึงช่องว่างระหว่างความเร็วของเทคโนโลยี กับความสามารถของระบบการเมือง, นักการเมือง หรือแม้แต่สถาบันกำกับดูแลในการตอบสนองกับสิ่งที่เปลี่ยนไป

มีเวิร์กช็อปที่พูดถึงเรื่องนี้แบบเปิดๆ ทั้งในเชิงทฤษฎีและประสบการณ์จากแต่ละประเทศ สนุกตรงที่ได้ฟังมุมมองจากทั้งคนที่ทำงานกับภาครัฐ, คนที่เคยร่างกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยี และคนที่อยู่ในโลกของ Civic Tech เอง ซึ่งพอเอาทั้งสามฝั่งมาคุยกัน ก็ยิ่งเห็นภาพชัดว่าปัญหาไม่ใช่แค่ “กฎหมายล้าหลัง” แต่คือระบบที่ยังไม่พร้อมจะออกแบบ “กติกาใหม่” สำหรับโลกที่เปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ บรรยากาศการคุยในเวิร์กช็อปไม่ได้เครียดหรือวิชาการจ๋า แต่เป็นการแลกเปลี่ยนแบบเปิดๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าแม้แต่คนที่ทำงานกับกติกา ก็ยังต้องการพื้นที่แบบนี้ไว้ “ตั้งคำถาม” และ “ทดลองคิด” ไปพร้อมกับคนที่อยู่หน้างานจริง

AI Adoption และการสื่อสารเพื่อดึงคน

สองประเด็นที่เป็นจุดร่วมของหลายๆ เซสชันในงานนี้ คือเรื่อง AI Adoption และ การออกแบบการสื่อสารสาธารณะให้ดึงคนมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง AI ที่สนุกตรงที่ไม่มีคำตอบตายตัว ทุกบริบทต่างกัน และแต่ละ Use Case ล้วนถกเถียงได้หมด ตั้งแต่ Ethical Concerns, Governance ไปจนถึงว่าเราควรใช้ AI แทนแรงงานมนุษย์แค่ไหน ซึ่งความไม่ชัดเจนตรงนี้เองที่เปิดทางให้เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างสร้างสรรค์ ทั้งจากคนที่ใช้ AI อยู่จริง และคนที่ยังตั้งคำถามกับมันอยู่

อีกประเด็นที่เห็นชัดคือเรื่อง Proactive Information Providing หรือการผลักข้อมูลออกไปหาผู้ใช้งานก่อนที่เขาจะต้องมาค้นหาเอง งานแบบที่ WeVis ทำอย่าง Civic Dashboard หรือ Data Storytelling ถูกต่อยอดให้เป็นระบบแจ้งเตือน (alert), Chatbot หรือ Personalized Feed มากขึ้น เพื่อดึงความสนใจของคนในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน และสิ่งที่น่าสนใจกว่าประชาธิปไตยอยู่เต็มไปหมด ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (Public Engagement) โดยรวมเริ่มลดลง ไม่ใช่เพราะคนไม่แคร์ แต่เพราะสิ่งที่ต้องแข่งด้วยมันเยอะและเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ปีนี้นอกจากจะไปพรีเซนต์โปรเจกต์ WeVis แล้ว ยังได้รับเกียรติขึ้น Panel ปิดงานเพื่อสรุปความประทับใจทั้งหมดนี้ ขอบคุณมิตรสหายชาว MySociety ผู้จัดงาน คุณคือแรงบันดาลใจให้ทีมเราเริ่มต้น (ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ยังเป็น ELECT) จนถึงวันนี้ หวังว่าจะได้พบกันใหม่ พร้อมเรื่องราวใหม่ๆ ในปีถัดไป

Tot de volgende keer พบกันใหม่โอกาสหน้า 👋