Content by

ย้อนดูพัฒนาการระบบเลือกตั้งของไทย “พรรคเล็กใหญ่ ใครได้ใครเสีย”

ในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งไทยทั้ง 26 ครั้ง การเมืองไทยผ่านหลากหลายวิธีการทดลองและพัฒนาระบบเลือกตั้งให้สอดคล้องกับบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนไปตามรัฐธรรมนูญในแต่ละฉบับ

รวมไปถึง เลือกตั้ง’66 เมื่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติให้แก้ไขระบบเลือกตั้ง โดยกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ และมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสัดส่วนของ ส.ส. เขต และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ เป็นผลให้ระบบเลือกตั้งในรอบนี้แตกต่างออกไปจากระบบเลือกตั้งที่ใช้ในปี 62 

ทำความเข้าใจระบบเลือกตั้ง’66 

การเข้าใจที่มาที่ไปของระบบเลือกตั้งจะทำให้เข้าใจบริบทของการเมืองไทยในแต่ละช่วงมากขึ้น เมื่อระบบเลือกตั้งเปรียบเสมือนเกมที่กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำในการคัดเลือกกลุ่มพรรคการเมืองเข้ารัฐสภา และในทุก ๆ ระบบเลือกตั้งที่ไทยเคยใช้มา ได้เปิดเผยข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบต่อพรรคการเมืองต่าง ๆ อย่างแตกต่างกันออกไป

ชวนอ่านพัฒนาการระบบเลือกตั้งไทย ตั้งแต่เลือกตั้ง’44 จนถึงเลือกตั้ง’66 เลือกตั้ง 6 ครั้ง ใช้ 5 ระบบ แตกต่างมากน้อยขนาดไหน แล้วระบบเลือกตั้งแต่ละรูปแบบส่งผลกระทบต่อพรรคการเมืองประเภทไหน อย่างไรบ้าง

จุดเปลี่ยนสำคัญของการเลือกตั้งไทยเกิดขึ้นเมื่อระบบการเลือกตั้งแบบคู่ขนาน (การเลือกตั้งที่ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบเพื่อเลือก ส.ส. เขต กับ ส.ส. บัญชีรายชื่อ) ถูกนำเสนอและใช้ครั้งแรกหลังการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 นับว่าเป็นระบบการเลือกตั้งที่พลิกโฉมวงการการเมืองไทย เพราะจากเดิมมีเพียงแค่การเลือกตั้ง ส.ส. เขต แต่ระบบเลือกตั้งแบบใหม่นี้มีการเพิ่ม ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อหรือ “ปาร์ตี้ลิสต์” เป็นครั้งแรก เพื่อเพิ่มบทบาทของพรรคการเมืองและนโยบายของพรรคให้ชัดเจนมากขึ้น 

จากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 สู่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน การเมืองไทยปรับเปลี่ยนระบบเลือกตั้งมาแล้วกว่า 5 ระบบ ซึ่งมีความแตกต่างและความเหมือนในรายละเอียด เงื่อนไข และกฏกติกา

เปรียบเทียบระบบเลือกตั้งไทยจากรัฐธรรมนูญ 2540 จนถึงปัจจุบัน

เปรียบเทียบระบบเลือกตั้งไทยทั้ง 5 ระบบ

ตารางเปรียบเทียบระบบเลือกตั้งไทยจากรัฐธรรมนูญ 2540 จนถึงปัจจุบัน

ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ2550/1ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2550/2ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560/1ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560/2
ปีเลือกตั้ง
ที่ใช้
(*=เลือกตั้งเป็นโมฆะ)
2544
2548
2549* 
25502554
2557* 
25622566
จำนวนครั้งที่ได้ใช้ 2111?
จำนวนบัตรเลือกตั้ง2 ใบ2 ใบ2 ใบ1 ใบ2 ใบ
ส.ส. ระบบแบ่งเขต400400375350400
ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ10080125150100
จำนวนรวม ส.ส.500480500500500
ประชาชนเลือก ส.ส. เขตได้1 คน1-3 คน1 คน1 คน1 คน
จำนวนหมายเลขพรรคที่ใช้ในบัตรเลือกตั้งใช้เบอร์เดียวกันใช้คนละเบอร์ใช้เบอร์เดียวกันใช้คนละเบอร์
เงื่อนไขและเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำในการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อร้อยละ 5 ของผลโหวตรวมทั่วประเทศไม่กำหนดไม่กำหนดกำหนดตัวเลข ส.ส.พึงมี จากสัดส่วนคะแนนโหวตที่พรรคได้ไม่กำหนด
สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อสูตรหาร 100
คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมืองรวมกันทั้งประเทศ แล้วหารด้วย 100 จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อผู้แทน 1 คน นำคะแนนของแต่ละพรรคการเมือง หารด้วยคะแนนเฉลี่ยที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น
ระบบสัดส่วน
แบ่งพื้นที่ออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด แต่ละกลุ่มจังหวัดมี ส.ส. จากระบบสัดส่วนได้ 10 คน
โดยนำคะแนนที่ทุกพรรคการเมืองได้รับในเขตเลือกตั้งนั้นมารวมกัน แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กับคะแนนรวมข้างต้น
สูตรหาร 125
คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมืองรวมกันทั้งประเทศ แล้วหารด้วย 125 จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อผู้แทน 1 คน นำคะแนนของแต่ละพรรคการเมือง หารด้วยคะแนนเฉลี่ยที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น
สูตรหาร 500
คะแนนเลือกตั้งของทุกพรรคการเมืองรวมกันทั้งประเทศ แล้วหารด้วย 500 จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อผู้แทน 1 คน นำคะแนนของแต่ละพรรคการเมือง หารด้วยคะแนนเฉลี่ยที่คำนวณไว้ จะได้ตัวเลขจำนวน ส.ส. พึงมี ของพรรคการเมือง จากนั้นให้หาผลต่างระหว่างที่นั่ง ส.ส. เขตที่พรรคการเมืองได้ กับจำนวน ส.ส.พึงมี จะได้จำนวนผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น 
สูตรหาร 100
คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมืองรวมกันทั้งประเทศ แล้วหารด้วย 100 จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อผู้แทน 1 คน นำคะแนนของแต่ละพรรคการเมือง หารด้วยคะแนนเฉลี่ยที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น
ส.ว.เลือกตั้ง 200 คน
แต่งตั้ง 0 คน
รวม 200 คน
เลือกตั้ง 77 คน
แต่งตั้ง 73 คน
รวม 150 คน
เลือกตั้ง 77 คน
แต่งตั้ง 73 คน
รวม 150 คน
เลือกตั้ง 0 คน
แต่งตั้ง 250 คน
รวม 250 คน
ส.ว.ชุดเดิม
เพราะมีวาระ 5 ปี
พรรคที่ได้ ส.ส.มากที่สุดไทยรักไทยพลังประชาชนเพื่อไทยเพื่อไทย?
คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส.ต้องเป็น ส.ส.ต้องเป็น ส.ส.ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.
ไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ต้องอยู่ในบัญชีว่าที่นายกฯ ที่พรรคการเมืองเสนอไว้ก่อนเลือกตั้ง **เว้นแต่ในระหว่าง 5 ปีแรก มาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้สามารถเลือกจากคนที่ไม่อยู่ในบัญชีว่าที่นายกฯ ของพรรคการเมืองได้
ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.ไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ต้องอยู่ในบัญชีว่าที่นายกฯ ที่พรรคการเมืองเสนอไว้ก่อนเลือกตั้ง 
นายกที่ได้ทักษิณ ชินวัตรสมัคร สุนทรเวชยิ่งลักษณ์ ชินวัตรประยุทธ์ จันทร์โอชา?
เปรียบเทียบระบบเลือกตั้งไทยจากรัฐธรรมนูญ 2540 จนถึงปัจจุบัน

ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540

บรรยากาศการเมืองไทยก่อนที่จะมีระบบการเลือกตั้งแบบคู่ขนาน คะแนนเลือกตั้งจะถูกนับจาก ส.ส. ระบบเขตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การจัดตั้งรัฐบาลจึงต้องอาศัยการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลจากหลากหลายพรรค และมักจะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ แต่เมื่อมีการใช้ระบบการเลือกตั้งแบบคู่ขนานที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของพรรคการเมือง รัฐบาลจากสภาที่ใช้ระบบนี้จึงมีความเข้มแข็งขึ้นจากผลการเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองเข้าทำงานในสภาจำนวนไม่มาก และมีการแข่งขันเชิงนโยบายที่เพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ดี ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 มีการกำหนดเพดานขั้นต่ำสำหรับพรรคการเมืองที่จะได้ที่นั่งในสภาว่าต้องมีคะแนนเสียงขั้นต่ำ “ร้อยละ 5” เพื่อใช้จัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้พรรคการเมืองขนาดเล็กหรือขนาดกลางมีโอกาสสูงที่จะไม่ได้ที่นั่ง ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อเลย ระบบนี้จึงเอื้อข้อได้เปรียบแก่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ ในขณะที่พรรคการเมืองที่จะเป็นทางเลือกใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นได้ยาก 

ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2550/1

ภายหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2549 มีการปรับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระบบเลือกตั้งจึงถูกเปลี่ยนไปด้วย ระบบใหม่นี้มีการปรับอัตราส่วนจำนวน ส.ส. ใหม่ โดยลดจำนวน ส.ส. ในสภาลงเหลือ 480 คน และเพิ่มการออกเสียงให้ประชาชนสามารถเลือก ส.ส. เขตได้มากกว่า 1 คนต่อเขต เพื่อกระจายคะแนนไปยังผู้สมัครหลายคน นอกจากนี้ ยังมีการใช้ระบบบัญชีรายชื่อแบบใหม่โดยการแบ่งกลุ่มจังหวัดเป็น 8 กลุ่ม เรียกว่า “ระบบสัดส่วน” โดยแต่ละกลุ่มจังหวัดจะมี ส.ส. จากระบบสัดส่วนได้ 10 คน จากวัถตุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่ง ส.ส. บัญชีรายชื่อที่มีความผูกพันกับประชาชนในพื้นที่

อย่างไรก็ดี ระบบเลือกตั้งในรอบนี้ได้รับข้อวิจารณ์ว่ามีปัญหาภายในตัวอยู่มาก ประกอบไปด้วย ประการแรก ปัญหาความไม่เท่าเทียมของจำนวนตัวแทนที่ออกเสียงในสภา กล่าวคือ จากการเลือกตั้ง ส.ส. แบ่งเขตที่มีจำนวน ส.ส. ให้เลือกในแต่ละเขตที่ “ไม่เท่ากัน” ทำให้ประชาชนในแต่ละเขตเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงไม่เท่ากัน เช่น ประชาชนที่อยู่ในเขตที่ต้องเลือก ส.ส. 3 คน มีสิทธิเลือกผู้แทนได้ 3 คน ในขณะที่ประชาชนที่อยู่ในเขตที่ต้องเลือก ส.ส. คนเดียวนั้น มีสิทธิเลือกผู้แทนได้เพียงแค่คนเดียว และประการที่สอง ระบบสัดส่วนที่แบ่งตามกลุ่มจังหวัดไม่ได้สะท้อนความเป็นภูมิภาค อีกทั้งยังครอบคลุมพื้นที่บริเวณที่กว้างเกินไป ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ ส.ส. แสดงความรับผิดชอบต่อคนในพื้นที่ได้จริง

ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2550/2

ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2550 ถูกพิจารณาแก้ไขผ่านกลไกรัฐสภาในปี 2554 จากความล้มเหลวในระบบสัดส่วน จึงกลับมาใช้ระบบบัญชีรายชื่อลักษณะเดิมกับที่เคยใช้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่มีการปรับสัดส่วนจำนวน ส.ส. โดยเพิ่มจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 125 คน และลดจำนวน ส.ส. เขตลงเหลือ 375 คน ทำให้พรรคการเมืองได้รับความสำคัญมากขึ้นในระบบเลือกตั้งอีกครั้ง อย่างไรก็ดีระบบเลือกตั้งรอบนี้ไม่ได้กำหนดเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำในการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้พรรคการเมืองขนาดเล็กและขนาดกลางมีโอกาสได้ที่นั่งในสภามากกว่าระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540

ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560/1

การรัฐประหารโดยคสช. ในปี 2557 มีผลให้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ถูกยกเลิก ระบบเลือกตั้งจึงถูกออกแบบใหม่อีกครั้ง 

การเลือกตั้งในปี 2562 มีความพยามอุดข้อเสียของแนวคิดระบบ winner takes all ที่สร้างปรากฏการณ์ “คะแนนเสียงตกน้ำ” กล่าวคือ ส.ส. เขตที่ได้คะแนนมากที่สุดจะได้ที่นั่งในสภา แม้ผลคะแนนดังกล่าวจะมีจำนวนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผู้ออกเสียงในเขตนั้น การนำคะแนนของ ส.ส. ระบบแบ่งเขตมาใช้คำนวน ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ผ่านการให้เลือกโดยใช้บัตรใบเดียวเลือกทั้งคนทั้งพรรค ทำให้คะแนนของผู้สมัครที่ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งถูกใช้คํานวณเป็นคะแนนของพรรคได้อีกชั้นหนึ่ง

อย่างไรก็ดี แนวคิดการใช้บัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว ทำให้ประชาชนไม่สามารถเลือก ส.ส. ในระบบแบ่งเขตให้แตกต่างไปจากการเลือกพรรคการเมืองได้ ระบบนี้จึงเสมือนเป็นการบังคับเลือกพรรคการเมืองภายในตัว ส.ส. ท้องถิ่นที่มีคะแนนเสียงเหนียวแน่นจึงเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับพรรคการเมืองในระบบเลือกตั้งประเภทนี้ 

ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560/2

จากบัตรเลือกตั้งใบเดียวจนถึงสูตรการคำนวณระบบบัญชีรายชื่อเจ้าปัญหา นำไปสู่ความพยายามในการแก้กฏหมายเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งระบบการเลือกตั้งที่เป็นธรรม ในท้ายที่สุดแล้ว ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติเห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 โดยแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตาม พ.ร.ป ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 และปรับเปลี่ยนระบบเลือกตั้งไปสู่ “ระบบบัตร 2 ใบ สูตรหารร้อย แต่คนละเบอร์”

จุดเด่น–จุดด้อยของการเลือกตั้ง 5 ระบบ

จุดเด่น–จุดด้อยของการเลือกตั้ง 5 ระบบ

ภายใต้บรรยากาศประชาธิปไตย เมื่อระบบเลือกตั้งหนึ่ง ๆ เผยข้อได้เปรียบหรือข้อเสียเปรียบที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้รับ ความพยายามในการพัฒนาแก้ไขระบบเลือกตั้งจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ผ่านการใช้กลไกรัฐสภาเพื่อให้ได้มาซึ่งระบบการเลือกตั้งที่เป็นธรรม เพราะในหลาย ๆ ครั้ง มักเกิดคำถามว่าระบบเลือกตั้งถูกพัฒนาให้ดีขึ้นจริง ๆ  หรือเป็นเพียงแค่หนึ่งในเครื่องมือสกัดอำนาจฝ่ายตรงข้ามของชนชั้นนำ 

ในทุก ๆ ระบบเลือกตั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ล้วนส่งผลกระทบพรรคการเมืองขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ มากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่จะมีหนทางไหนบ้างที่จะสามารถออกแบบสูตรกติกาที่มั่นคงและให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม รวมไปถึงการมีระบบเลือกตั้งที่สามารถสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนไทยมากที่สุด

แม้ระบบเลือกตั้งไทยจะถูกเปลี่ยนบ่อยและเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่การเลือกตั้ง’66 นี้ ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกคนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดย “เลือกคนที่รัก และเลือกพรรคที่ชอบ” ร่วมกันใช้สิทธิที่ตัวเองมีอยู่ขับเคลื่อนสังคมไทยผ่านวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยพร้อมกัน ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้

อ้างอิงข้อมูลจาก