ย้อนกลับไปในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด เรามีบัตรเสีย 1,457,899 ใบที่เป็นบัตรลงคะแนน สส. แบบแบ่งเขต และอีก 1,509,836 ใบที่เป็นบัตรลงคะแนนแบบบัญชีรายชื่อ บวกรวมกันแล้วคือเกือบ 3 ล้านใบ … เกือบ 3 ล้านเสียงที่ไม่ถูกนับรวมไปในผลการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566
เชื่อว่าใครที่ได้มีโอกาสเข้าคูหาเลือกตั้ง คงต้องเคยรู้สึก “กลัวกาผิด” กันบ้างไม่มากก็น้อย ไหนจะต้องจำหมายเลขผู้สมัคร จำหมายเลขพรรค เข้าไปก็ต้องกาลงให้ถูกใบ ถูกช่อง เล่นเอาเหงื่อแตกโดยไม่ต้องพึ่งอากาศร้อนเลยทีเดียว
…แล้วทำไมเราถึงต้อง “จำเข้าไปกา” ตั้งแต่ต้น? ทำไมในบัตรเลือกตั้งถึงไม่บอกรายละเอียดของพรรคและผู้สมัครให้เราไปเลยล่ะ? 🤔
แน่นอนว่าการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนคือหมุดหมายของการจัดการเลือกตั้ง การออกแบบบัตรเลือกตั้งที่บอกรายละเอียดชัดเจน จึงเป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ที่ กกต. ต้องให้ความสำคัญ เพื่อลดการ “กาพลาด” ที่ทำให้เกิดบัตรเสียโดยไม่ได้ตั้งใจ เท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะบัตรเลือกตั้งไม่ใช่ ‘แค่แผ่นกระดาษ’ แต่เป็นเครื่องมือแสดงเจตจำนงของประชาชน หากบัตรเลือกตั้งถูกออกแบบให้เจตจำนงถูก ‘ปัดทิ้งเป็นบัตรเสีย’ ได้โดยง่าย … ‘แค่แผ่นกระดาษ’ ก็บ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยได้
บทความนี้จะพาคุณตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับหน้าตาบัตรเลือกตั้งทั่วไปของไทย และพินิจ ‘ข้อจำกัด’ ของ กกต. ต่อการจัดการบัตรเลือกตั้ง … ด้วยความหวังว่าสักวัน บัตรเลือกตั้งจะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างที่ควร
เลือกตั้งครั้งล่าสุด บัตรเลือกตั้งหน้าตาอย่างไร และปัญหาอยู่ที่ไหน?
การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 มีบัตรเลือกตั้งทั้งสิ้น 2 ใบ โดยแต่ละใบมีรายละเอียด ดังนี้ (ที่มาภาพ โพสต์ของ Facebook Page สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง)
1. บัตรสีม่วง สำหรับเลือก สส. แบบแบ่งเขต บนบัตรประกอบด้วย

- หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร
- ช่องทำเครื่องหมาย
2. บัตรสีเขียว สำหรับเลือกแบบบัญชีรายชื่อ บนบัตรประกอบด้วย

- หมายเลขประจำพรรคการเมือง
- โลโก้พรรคการเมือง
- ชื่อพรรคการเมือง
- ช่องทำเครื่องหมาย
บัตรเลือกตั้งที่หลัก ๆ มีแค่ ตัวเลขและช่องสำหรับกา คือหน้าตาบัตรที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ถามว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหน?

- ในบัตรเลือกตั้ง สส. เขต จะระบุเฉพาะหมายเลข ไม่มีการระบุชื่อผู้สมัคร และพรรคที่สังกัด
- หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร สส. เขต และหมายเลขประจำพรรคการเมือง ไม่ใช่หมายเลขเดียวกัน (เช่น คุณเอ สส. เขต พรรค A ได้หมายเลขประจำตัวเป็นหมายเลขหนึ่ง แต่พรรคกอไก่ ได้หมายเลขประจำพรรคเป็นหมายเลขห้า ดังนั้น หากเราต้องการเลือกคุณเอเป็น สส.เขต และเลือกพรรคกอไก่ แบบบัญชีรายชื่อ จะต้องท่องว่า “กาเลขหนึ่งในบัตรสีม่วง กาเลขห้าในบัตรสีเขียว”)
เท่ากับว่าคนไทยต้อง “จำ” รายละเอียดของผู้สมัครและพรรค เพื่อ “เข้าไปกา” ในคูหาให้ถูกต้อง
ว่าแต่ ถ้าจะลดการ “จำเข้าไปกา” บัตรเลือกตั้งจะมีหน้าตายังไงได้บ้าง? เราขอชวนคุณสำรวจบัตรเลือกตั้งที่ชาวโลกได้ใช้สักหน่อย

✨ นิวซีแลนด์ — บัตรเลือกตั้งที่แบ่งเป็น 2 ฝั่ง
บัตรเลือกตั้งของนิวซีแลนด์ประกอบด้วย
- ฝั่งเลือกพรรค (เพื่อนับคะแนนแบ่งสัดส่วน สส. พึงมี) ซึ่งจะระบุ
- โลโก้พรรค
- ชื่อพรรค
- ฝั่งเลือก สส. เขต ซึ่งจะระบุ
- โลโก้พรรคที่สังกัด
- ชื่อพรรค
- ชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตนั้น ๆ
นิวซีแลนด์ออกแบบบัตรให้สามารถกาทั้งคนและพรรคได้ในบัตรเดียวกัน แทนที่จะแยกบัตรสองใบที่อาจสร้างความสับสน
นอกจากนี้ยังสังเกตได้ว่า นิวซีแลนด์ไม่มีระบบหมายเลขประจำพรรคและหมายเลขประจำผู้สมัคร แต่ให้รายละเอียดด้วยโลโก้และชื่อลงไปในบัตรเลือกตั้ง เพื่อลดภาระการ “จำเข้าไปกา” ของผู้ลงคะแนน
✨ อินโดนีเซีย — บัตรเลือกตั้งขนาด A2 ที่ใส่รายละเอียดให้ทั้งหมด
บัตรเลือกตั้งของอินโดนีเซียประกอบด้วย
- หมายเลขประจำพรรค
- ชื่อพรรค
- โลโก้พรรค
- รายชื่อ ส.ส.ที่ลงสมัครประจำเขตของแต่ละพรรค
อินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่ ทำให้มีจำนวนผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งจำนวนมาก หากต้องใช้การ “จำเข้าไปกา” คงจะปวดหัวกว่าเราเป็นร้อยเป็นพันเท่า
แต่แม้จะมีจำนวนผู้สมัครมาก บัตรเลือกตั้งของอินโดนีเซียก็ให้รายละเอียดทั้งหมดไว้ในใบเดียว — ส่งผลให้บัตรเลือกตั้งมีขนาดใหญ่ถึง A2 (A4 สี่ใบต่อกัน) อีกทั้งให้รายละเอียดชื่อและพรรคของผู้สมัครไว้ในบัตรเรียบร้อย
นอกจากนี้ วิธีการลงคะแนนของอินโดนีเซีย ไม่ใช่การ ‘กา’ แต่เป็นการ ‘เจาะรู’ นี่เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจเพื่อป้องกันการ ‘กาพลาด’ เช่น การกาเลยช่อง ที่จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นบัตรเสีย
✨ ฟินแลนด์ — บัตรเลือกตั้งโล่ง ๆ แต่มีรายละเอียดผู้สมัครแปะไว้ ‘ในคูหา’
บัตรเลือกตั้งของฟินแลนด์ประกอบด้วย
- ช่องว่างสำหรับเขียนหมายเลขผู้สมัครที่ต้องการเลือก
จบ…
บัตรเลือกตั้งของฟินแลนด์ เรียกได้ว่า ‘เรียบง่าย’ เมื่อเทียบกับบัตรเลือกตั้งของประเทศอื่น ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ฟินแลนด์ใช้การติดรายละเอียดของผู้สมัครไว้ในคูหา ทั้งหมายเลขผู้สมัครและชื่อผู้สมัคร นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีเพื่อลดภาระการ “จำเข้าไปกา” อีกทั้งยังได้บัตรเลือกตั้งที่หน้าตาไม่ซับซ้อน
จะเห็นได้ว่า สิ่งที่บัตรเลือกตั้งทั้ง 3 ประเทศมีร่วมกันคือ เราได้รู้ในคูหา ว่าคนที่เรากาลงคะแนนให้ เป็นใคร ชื่ออะไร มาจากพรรคอะไร
พอมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ก็เกิดคำถามว่า ทำไม กกต. ถึงไม่ออกแบบให้บัตรเลือกตั้งให้รายละเอียดมากกว่านี้? หรือทำไมไม่กำหนดให้ ‘คน’ และ ‘พรรค’ ใช้หมายเลขประจำตัวเดียวกันไปเสียเลย เพื่อป้องกันความสับสน?
มาสำรวจ ‘คำตอบ’ ของกกต. จาก การประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 87 วันที่ 22 ตุลาคม 2568 กันดีกว่า
🤔 ทำไมในบัตรเลือกตั้ง สส. เขต ถึงให้รายละเอียดผู้สมัครไม่ได้?

กกต. อ้างสาเหตุ 2 ข้อ ได้แก่
1. ไม่สามารถจัดการและหาโรงพิมพ์เพื่อพิมพ์รายละเอียดบนบัตรที่มากขึ้นในเวลาที่มีได้
การระบุชื่อผู้สมัคร ชื่อพรรค รวมถึงโลโก้พรรค ลงไปในบัตรเลือกตั้ง เท่ากับว่า
- ต้องยืนยันรายชื่อผู้สมัครให้เรียบร้อยก่อน จึงจะพิมพ์บัตรเลือกตั้งได้ 👉 เริ่มพิมพ์ได้ช้าลง
- ในแต่ละเขตเลือกตั้ง จะมีบัตรเลือกตั้งเฉพาะเขตของตนเอง ใช้แทนกันไม่ได้ 👉 ต้องพิมพ์บัตรมากกว่า 1 แบบ
กกต. มองว่านี่คือความท้าทาย เพราะแต่เดิมบัตรเลือกตั้งแบบ “บัตรโหล” ที่มีแค่หมายเลขกับช่องกาและใช้แบบเดียวกันทั้งประเทศ กกต. ก็ใช้เวลาพิมพ์มากแล้ว อีกทั้งพิมพ์เสร็จกระชั้นกับวันเลือกตั้ง ดังนั้น การเพิ่มรายละเอียดในบัตรเลือกตั้ง จึงไม่สัมพันธ์กับกรอบเวลาที่ กกต. มี
2. ข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดส่ง
อีกความท้าทายสำหรับ กกต. ที่ตามมาจากการที่แต่ละเขตมีบัตรเลือกตั้งเฉพาะเขตของตัวเอง คือการจัดส่งบัตรไปให้ถูกเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะกับการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่ในหนึ่งหน่วยเลือกตั้ง จะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจากหลากหลายเขตเลือกตั้งมาลงคะแนนด้วยกัน การจัดส่งบัตรเลือกตั้งหลาย ๆ แบบไปรวมในที่เดียวกัน อาจเกิดความผิดพลาดได้
นอกจากนี้ กกต. ยังชี้แจงว่า การจัดส่งใบเลือกตั้งไปนอกหน่วย จะต้องจัดส่งเป็นเล่มเท่านั้น (1 เล่ม มีบัตร 20 ใบ) ซึ่งสำหรับหน่วยเลือกตั้งที่มีผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าน้อย กกต. ประเมินว่าไม่คุ้มค่าและสิ้นเปลืองงบประมาณในการจัดพิมพ์
❓ คำถามที่ตามมาคือ ทำไมไม่จัดให้มีโรงพิมพ์บัตรเลือกตั้งหลาย ๆ แห่ง เพื่อกระจายความสามารถและปริมาณในการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง และลดปัญหาด้านการจัดส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ?
กกต. ให้คำตอบว่า จากการศึกษาพบว่า โรงพิมพ์แห่งอื่น ๆ รวมถึงโรงพิมพ์ตามภูมิภาค ยังไม่มีความพร้อมพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ทำให้ไม่สามารถกระจายบัตรไปยังโรงพิมพ์แห่งอื่นนอกเหนือจากโรงพิมพ์เจ้าประจำของ กกต. ได้
… คำตอบเหล่านี้ก็ชวนให้ครุ่นคิดว่า โรงพิมพ ์มีข้อจำกัด หรือ กกต. ยังไม่ให้ความสำคัญมากพอ กับการปรับเปลี่ยนกระบวนการเพื่อลดข้อจำกัดของการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่เลือกตั้งกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว?
🤔 ทำไมถึงกำหนดให้ ‘คน’ กับ ‘พรรค’ ใช้หมายเลขเดียวกันไม่ได้?

ในเมื่อการเปลี่ยนหน้าตาบัตรมีข้อจำกัด และเรา (คง) ต้อง “จำเลขเข้าไปกา” กันต่อไป แล้วทำไมถึงไม่กำหนดให้ ‘เลขคน’ ตรงกับ ‘เลขพรรค’ เสียตั้งแต่ต้นล่ะ?
กกต. ให้คำตอบว่า ตามกำหนดการ จะเปิดรับสมัคร สส. เขต และจับหมายเลขประจำตัวของ สส. เขต ก่อน ส่วนแบบบัญชีรายชื่อ จะเปิดรับสมัครพรรคและได้หมายเลขประจำพรรคในวันรุ่งขึ้น การสมัครและจับหมายเลขแยกกัน จึงทำให้คนและพรรคได้หมายเลขไม่ตรงกัน
❓ คำถามที่ตามมาข้อแรกคือ เราสามารถแก้ไขกระบวนการให้ สส. เขตและบัญชีรายชื่อ สมัครและรับหมายเลขในวันเดียวกันได้หรือไม่?

คำตอบคือ กระบวนการนี้อาจขัดกับ มาตรา 56 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ที่ว่า “พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร สส. เขตแล้ว จึงจะมีสิทธิสมัครแบบบัญชีรายชื่อ […]” ซึ่งอาจตีความได้ว่า จะต้องสมัคร สส. เขตให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสมัครบัญชีรายชื่อได้ต่อ ไม่สามารถสมัครสองทางพร้อมกันได้
❓ คำถามที่ตามมาข้อที่สองคือ เราสามารถแก้ไขกระบวนการให้ไม่ต้องจับหมายเลขประจำตัว ณ วันรับสมัคร สส.เขต แต่รอให้พรรคจับหมายเลขให้ในวันรุ่งขึ้น และใช้เบอร์เดียวกันนั้นไปทั้งคนทั้งพรรคได้หรือไม่?

กกต. ให้คำตอบว่า ตามระเบียบ ต้องมีกระบวนการจับหมายเลขประจำตัว เพื่อให้การสมัครสมบูรณ์ รวมถึงใน มาตรา 48 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ที่ระบุว่า “ในการรับสมัครเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครได้รับหมายเลขประจำตัว […]” เท่ากับว่า การรับสมัครต้องพ่วงกับการรับหมายเลขประจำตัวเสมอ
โดยสรุปคือ
- จำนวนโรงพิมพ์ที่ ‘พร้อม’ มีไม่เพียงพอ สำหรับการพิมพ์บัตรแบบระบุชื่อผู้สมัครและพรรคที่สังกัด ตามการสำรวจข้อมูลของ กกต.
- ความผิดพลาดที่อาจเกิดระหว่างการจัดส่งบัตรเลือกตั้งที่มีหลายแบบ ในวันเลือกตั้งล่วงหน้า
- ข้อจำกัดตาม พ.ร.ป. ที่ทำให้หมายเลขประจำตัว ‘คน’ และ ‘พรรค’ ถูกกำหนดแยกกัน
จึงส่งผลให้เรา (ยัง) ต้องจำหมายเลขคนและหมายเลขพรรค เพื่อเข้าไปกาบัตรเลือกตั้งทั้งสองใบที่ไม่ได้ให้รายละเอียดมากพอนั่นเอง
😵💫
เพราะวันเลือกตั้งของวันของประชาชน
ข้อท้าทายสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้คือ การเลือกตั้งพร้อมกับการลงประชามติ หมายความว่า จะมีบัตร อย่างน้อย 3 ใบ ที่เราต้องเข้าไปกาในคูหา
เมื่อจำนวนบัตรมากขึ้น ความซับซ้อนก็เพิ่มขึ้นตามมา แล้วถ้าบัตรเลือกตั้งยังออกแบบมาให้ต้อง “จำเข้าไปกา” เห็นทีจะลำบากเสียยิ่งกว่าเก่า เราจึงคาดหวังความเปลี่ยนแปลง ‘อย่างเป็นรูปธรรม’ จาก กกต. ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการออกแบบบัตรเลือกตั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า
หนึ่งข้อเสนอจากภาคประชาชนคือ หาก กกต. ไม่สามารถจัดการเรื่องการเพิ่มรายละเอียดในบัตรเลือกตั้ง รวมถึงไม่สามารถทำให้คนและพรรคใช้หมายเลขประจำตัวเดียวกันได้ ให้ใช้การติดป้ายไวนิลที่ระบุชื่อผู้สมัคร หมายเลข และพรรค ที่หน้าคูหา หรือหันเข้าคูหา หรือในคูหา (แบบของฟินแลนด์) แทน
สัญญาณที่ดีคือ กกต. ได้น้อมรับข้อเสนอนี้ และจะเน้นย้ำให้ทางคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) จัดทำป้ายเพื่อให้ข้อมูลและอำนวยความสะดวกกับประชาชน
WeVis หวังว่าการเลือกตั้งในปี 2569 นี้ ประชาชนจะไม่ต้องถูกผลักภาระให้ “จำเข้าไปกา” มากเท่ากับครั้งที่ผ่าน ๆ มา และขอใช้พื้นที่นี้เรียกร้องให้ กกต. แสดงให้เห็นถึงความพยายามเพื่อแก้ไขให้บัตรเลือกตั้งให้ข้อมูลกับประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงอุดช่องโหว่ความผิดพลาดที่สามารถเกิดขึ้น ไม่ว่าจะผ่านการแก้กฎหมาย ระเบียบ หรือวิธีปฏิบัติงาน หรืออย่างน้อยที่สุดคือ อำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้รู้รายละเอียดของผู้สมัครมากที่สุดก่อนเข้าคูหา อย่างที่ให้คำมั่นสัญญาไว้
เพราะวันเลือกตั้งคือวันของประชาชน …
เพราะวันเลือกตั้งคือวันกำหนดอนาคตของประเทศ …
เพราะเจตจำนงของประชาชนต้องไม่กลายเป็น ‘บัตรเสีย’ เพราะความผิดพลาดที่ผู้มีอำนาจสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
แหล่งข้อมูล
- การประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 87 วันที่ 22 ตุลาคม 2568
- จำนวนบัตรเสียจากการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566
- ภาพบัตรเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 จาก โพสต์ของ Facebook Page สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
- เลือกตั้ง 62 | ส่องบัตรเลือกตั้งต่างประเทศ มีโลโก้-ชื่อพรรคหรือไม่ ?
- บัตรเลือกตั้งของประเทศฟินแลนด์
