สองวาระสำคัญที่จะชี้ทิศทางของการเมืองไทยและจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า (แบบที่ต้องรอติดตามกันต่อ 😬) คือการเลือกตั้งทั่วไป (สส.) และการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ประชาชนจะเป็นตัวแปรสำคัญในสมการการมีส่วนร่วมนี้ แต่ความสำเร็จลุล่วงในขั้นแรกเพื่อให้ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นได้ต้องใช้การผลักดันจากทั้งฝ่ายบริหารอย่างคณะรัฐมนตรี (ครม.) ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ สมาชิกรัฐสภา และผู้ที่มีบทบาทในการอำนวยการจัดการเลือกตั้งและประชามติอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เพื่อให้เข้าใจความสำคัญของการออกแบบกระบวนการ‘เลือกตั้งพร้อมประชามติ’ ให้อำนวยความสะดวกประชาชนมากที่สุด WeVis ชวนย้อนอ่านจุดตั้งต้นของกระบวนการนี้ รวมถึงข้อเสนอแนะต่อ กกต. และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่าควรออกแบบอย่างไรให้ประชาชนอย่างเราออกไปใช้สิทธิได้อย่างสะดวกมากที่สุด
ย้อนไทม์ไลน์ ทำไมการเลือกตั้งครั้งใหม่มาพร้อมกับวาระประชามติ ?

2 ภารกิจสำคัญของ ‘รัฐบาลเฉพาะกิจ’ ของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล คือการยุบสภาทันทีภายใน 4 เดือนหลังจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ระบุในเงื่อนไขสัญญาใจ ‘MOA’ ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน
ต่อมา เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยต่อกรณี ‘คดีประชามติ’ ว่ารัฐสภามีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ต้องทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกอาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้ แต่ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ฝั่งพรรคประชาชนจึงรวบรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายให้การจัดทำประชามติครั้งที่ 1 กับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือนนี้ถูกจัดขึ้นในวันเดียวกันได้
ประชาชนออกเสียงประชามติพร้อมเลือกตั้ง สส. หรือเลือกตั้งท้องถิ่นได้
ความพยายามของฝ่ายนิติบัญญัติในการอำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถเข้าคูหาเพียงครั้งเดียวเพื่อเลือกได้ทั้ง สส. และตอบคำถามประชามติพร้อมกัน เริ่มมีเค้าโครงที่ชัดเจนขึ้น หลังจากการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (พ.ร.บ.ประชามติฯ) และเริ่มบังคับใช้เมื่อ 22 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา โดย 1 ใน 3 ประเด็นหลักที่มีการแก้ไข คือประเด็นการออกเสียงประชามติว่าสามารถจัดขึ้นพร้อมกับเลือกตั้งทั่วไปหรือเลือกตั้งท้องถิ่นได้
เดิมที ประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องจัดไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วัน นับแต่วันที่นายกรัฐมนตรีได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา หมายความว่า วันออกเสียงประชามติต้องอยู่ภายในช่วงประมาณ 3-4 เดือนหลังจากวันที่นายกฯ ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา จะเร็วหรือช้ากว่านี้ไม่ได้
ประเด็นที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมคือ ถ้าเห็นว่าวันเลือกตั้ง สส. ทั่วไป หรือวันเลือกตั้งท้องถิ่นที่ไม่ใช่การเลือกตั้งซ่อม อยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ก็สามารถกำหนดให้วันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งก็ได้ แต่ต้องไม่เร็วกว่า 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา หรือภายในช่วงประมาณ 2-5 เดือนหลังจากวันที่นายกฯ ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา
ครม. เคาะคำถามประชามติเพื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทันที
พ.ร.บ. ประชามติฯ มาตรา 11 ประกอบมาตรา 9 (2) (3) (4) (5) ระบุว่า หาก ครม. มีมติสมควรให้ทำประชามติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้หารือกับ กกต. แล้วประกาศวันลงประชามติได้โดยต้องไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วัน นับแต่วันที่ ครม. มีมติ
ทำให้อีกหนึ่งแนวทางที่ ครม. สามารถทำได้ทันทีในช่วงที่กำลังรอสภาพิจารณาวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้คือการเคาะคำถามประชามติครั้งที่ 1 ว่า ‘ท่านเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” เพื่อให้ทันกับการเลือกตั้ง เพราะหาก ครม. อนุทิน ตัดสินใจยุบสภาเร็วกว่ากำหนดเพื่อเลี่ยงการซักฟอกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็อาจทำให้วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ตกไปด้วย
หากรัฐบาลต้องการยืนยันตามคำแถลงนโยบายว่าจะ “สนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” ทางเลือกตาม พ.ร.บ.ประชามติฯ แก้ไขเพิ่มเติม ปี 2568 ที่ให้ ครม. สามารถริเริ่มการจัดทำประชามติได้ทันทีหากรัฐบาลเห็นว่าสมควร จึงเป็นอีกทางเลือกที่เกิดขึ้นได้ โดยแยกการลงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ออกจากกัน
‘เลือกตั้งพร้อมประชามติ’ ออกแบบอย่างไรให้สะดวกประชาชนมากที่สุด 🤔
หากการเลือกตั้งใหญ่จัดขึ้นพร้อมกับการออกเสียงประชามติ คำถามสำคัญคือ จะออกแบบระบบอย่างไรให้ประชาชนใช้สิทธิได้ง่าย ไม่สับสน และมั่นใจว่าเสียงของทุกคนจะถูกนับอย่างถูกต้องและครบถ้วน
Disclaimer: เนื้อหาในบทความชิ้นนี้อ้างอิงจากข้อเสนอและความคิดเห็นในการประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน (กมธ. พัฒนาการเมืองฯ) กกต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
#1 เปิดทางเลือก ‘ออกเสียงประชามติล่วงหน้า’ คู่กับการเลือกตั้งล่วงหน้า
การลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ไม่มีการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถลงประชามติล่วงหน้า มีเพียงแค่การลงมตินอกเขตเท่านั้น ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีเลือกตั้ง สส. ที่ประชาชนสามารถขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าได้
ข้อมูลการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าและนอกราชอาณาจักรในการเลือกตั้งทั่วไป 3 ครั้งที่ผ่านมาคือในปี 2554 2562 และ 2566 เผยให้เห็นว่ามีผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิและใช้สิทธิจริงเป็นจำนวนมาก โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 2,023,866 คน

หากต้นปีหน้ามีการจัดการเลือกตั้งควบคู่กับการลงประชามติ แต่ กกต. ไม่เปิดให้มีการออกเสียงประชามติล่วงหน้า ย่อมทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มใหญ่กว่า 2 ล้านคนต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อออกเสียงในวันประชามติ ซึ่งเป็นภาระที่เกิดจากข้อจำกัดด้านระบบและการอำนวยความสะดวกมากกว่าความสมัครใจของประชาชนเอง
การเปิดให้ลงประชามติล่วงหน้าในวันเดียวกับการเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้า จะช่วยลดภาระการเดินทางและเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน หากไม่สามารถจัดให้มีระบบดังกล่าวได้ ผู้ที่ไม่ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในวันเลือกตั้งจริงก็จะเสียโอกาสในการทำประชามติไปด้วย ทำให้ประชาชนต้องเลือกลงทะเบียนซ้ำ 2 ครั้งเพื่อเข้าคูหา 2 รอบ คือลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต 1 ครั้ง และลงทะเบียนลงประชามตินอกเขตอีก 1 ครั้ง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและเพิ่มภาระให้ประชาชนโดยตรง
ท้ายที่สุด ระบบลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิล่วงหน้าและนอกเขตควรได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย โปร่งใส และไม่ซับซ้อน พร้อมมีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าอย่างทั่วถึง รวมถึงให้ระยะเวลาในการลงทะเบียนที่เพียงพอ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิได้อย่างสะดวกที่สุด

กมธ. พัฒนาการเมืองฯ เสนอ ‘การออกเสียงทางประชามติทางไปรษณีย์’ ควบคู่กับการเลือกตั้งล่วงหน้า
เมื่อ 30 ตุลาคม 2568 กกต. แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าไม่มีประชามติล่วงหน้า แต่ออกเสียงประชามตินอกเขตได้ ผู้ประสงค์ใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขต อาจต้องเดินทางมาใช้สิทธิ 2 ครั้ง คือในวันลงคะแนนล่วงหน้าสำหรับเลือกตั้ง สส. และออกเสียงประชามติอีกครั้งในวันลงประชามติ
พริษฐ์ วัชรสินธุ กรรมาธิการใน กมธ. พัฒนาการเมืองฯ เผยว่าปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความไม่สอดคล้องกันของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส.) และ พ.ร.บ.ประชามติ ในขณะที่ พ.ร.ป.เลือกตั้ง สส. รองรับการเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขตอย่างชัดเจน แต่ พ.ร.บ.ประชามติ ไม่มีการพูดถึงการออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขตอย่างชัดเจน โดยพูดถึงเพียงแค่การออกเสียง ‘ประชามติในวันจริงนอกเขต’ และ ‘ล่วงหน้านอกราชอาณาจักร’
กมธ. พัฒนาการเมืองฯ จึงเสนอทางออกที่ กกต. ทำได้ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ด้วยกลไกการออกเสียงทางไปรษณีย์ ซึ่งระบุไว้ใน พ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 47–48 ที่ให้อำนาจ กกต. อย่างเต็มที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการลงทะเบียน วิธีการออกเสียง การนับคะแนน และการดำเนินการอื่นที่จำเป็น
ข้อเสนอที่สามารถทำได้ภายใต้ระยะเวลาและกฎหมายปัจจุบัน คือการเปิดให้ประชาชนออกเสียงประชามติทางไปรษณีย์ภายใต้เงื่อนไขแบบ ‘เจาะจง’ ว่าหากใครต้องการใช้สิทธิออกเสียงทางไปรษณีย์จะต้อง
1. ลงทะเบียนขอใช้สิทธิพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขต
2. เดินทางไปยังหน่วยเลือกตั้งที่ลงทะเบียนไว้ในวันเลือกตั้งล่วงหน้า
3. รับซองลงคะแนน ออกเสียง และส่งคืนซองบัตรออกเสียงให้เจ้าหน้าที่ที่หน่วยเลือกตั้งเพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดส่งไปยังหน่วยนับคะแนนทางไปรษณีย์
แนวทางนี้เพิ่มโอกาสให้ประชาชนที่ไม่สะดวกในวันจริงได้ใช้สิทธิครบทุกประเภท และยังช่วยให้กระบวนการเลือกตั้งและประชามติดำเนินไปพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
#2 ออกแบบขั้นตอนหย่อนบัตรให้เข้าใจง่าย ไม่สับสน

เมื่อมีทั้งการเลือกตั้งและประชามติในวันเดียวกัน กกต. ควรออกแบบบัตรเลือกตั้งแต่ละประเภทให้แตกต่างกันอย่างชัดเจน และออกแบบขั้นตอน ‘รับบัตรและหย่อนบัตร’ อย่างแยกชัด เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนหรือเกิดบัตรเสียโดยไม่ตั้งใจ
ขั้นตอนที่ควรใช้:
- รับบัตรเลือกตั้ง สส. 2 ใบ คือบัตรเลือก สส. เขตและ สส. บัญชีรายชื่อ
- เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง
- หย่อนบัตรเลือกตั้ง สส. ทั้งสองใบตามหีบที่กำหนด
- รับบัตรออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
- เค้าคูหากาบัตรประชามติ
- หย่อนบัตรประชามติ
ขั้นตอนที่ควรหลีกเลี่ยง:
- แจกบัตรทั้งหมดพร้อมกัน เพื่อเข้าคูหา 1 ครั้ง
- หย่อนบัตรแต่ละใบตามหีบที่เตรียมไว้แยกกัน
การแยกขั้นตอนดังกล่าวแม้ดูใช้เวลามากขึ้นเล็กน้อย แต่จะช่วยลดความสับสนและข้อผิดพลาดได้มาก โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ใช้สิทธิครั้งแรก
สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อคือ การเพิ่มตัวช่วยให้ประชาชนเข้าใจความแตกต่างของบัตรแต่ละใบในหน่วยเลือกตั้งหรือในคูหาเลือกตั้งเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจก่อนเลือกกา และหากประชาชนหย่อนบัตรผิดหีบ ก็ควรนับเป็นบัตรดี รวมถึงการแจ้งไม่ใช้สิทธิที่ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรสื่อสารให้ชัดว่าประชาชนจะเสียสิทธิอะไรบ้าง และผลกระทบจากการไม่ไปใช้สิทธิคืออะไรบ้าง
#3 กระบวนการนับคะแนนต้องโปร่งใส ประชาชนสามารถสังเกตการณ์ได้
ในการเลือกตั้งปี 2566 ข้อมูลจาก Rocket Media Lab ชี้ให้เห็นว่าปัญหาการนับคะแนนยังคงเป็นหนึ่งในประเด็นที่ประชาชนร้องเรียนมากที่สุด โดยอ้างอิงข้อมูลจากอาสาสมัครที่รายงานผ่านแพลตฟอร์ม vote62 พบว่ามีกรณีการรวมคะแนนผิดมากถึง 285 กรณี รองลงมาคือ การขีดคะแนนผิด 192 กรณี การขานหมายเลขผู้สมัครผิด 145 กรณี และการขานบัตรเสียเป็นบัตรดีหรือขานบัตรดีเป็นบัตรเสียอีก 143 กรณี
นอกจากข้อผิดพลาดด้านการนับคะแนนโดยตรงแล้ว ยังพบรายงานปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง เช่น การเก็บใบรายงานผลการนับคะแนนเร็วเกินไปจนประชาชนไม่สามารถถ่ายภาพได้ทัน การไม่รับฟังข้อทักท้วงจากผู้สังเกตการณ์ การห้ามถ่ายภาพหรือวิดีโอกระดานคะแนน การไม่ปิดประกาศผลการนับคะแนน รวมถึงการจัดสถานที่นับคะแนนที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ

สำหรับการเลือกตั้งที่จัดควบคู่กับการลงประชามติ แนวทางสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการนับคะแนนในหน่วยเลือกตั้งควรประกอบด้วย
- การจัดวางกระดานนับคะแนนของแต่ละหีบให้เป็นสัดส่วนและมีระยะห่างเพียงพอ เพื่อลดความสับสนระหว่างการนับ
- กำหนดให้มีการนับคะแนนแยกทีละหีบอย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตการณ์ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นอาจต้องใช้จำนวนผู้สังเกตการณ์มากเกินจำเป็น
- กกต. ควรบันทึกภาพและเสียงตลอดกระบวนการนับคะแนน เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างโปร่งใส พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลจากกระดานนับคะแนนและใบนับคะแนนบนระบบออนไลน์ให้ประชาชนเข้าถึงได้ทันทีหลังปิดคูหา
- เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ได้อย่างอิสระ รวมถึงสิทธิในการถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอระหว่างการนับคะแนน
แนวทางเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน และช่วยให้กระบวนการเลือกตั้งพร้อมประชามติดำเนินไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
การเปิดทางเลือกให้ออกเสียงล่วงหน้าได้ ขั้นตอนหย่อนบัตรที่เข้าใจง่าย ตลอดจนกระบวนการนับคะแนนที่ตรวจสอบได้ ล้วนเป็นกระบวนการขั้นต้นที่ กกต. สามารถดำเนินการได้ทันทีภายใต้กฎหมายปัจจุบัน และเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการจัดการเลือกตั้งพร้อมประชามติให้ตอบโจทย์ประชาชนมากขึ้น
นอกจากนี้ กกต. ควรจะต้องพัฒนาทางเลือกอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนควบคู่กัน เช่น การทำงานร่วมกับสื่อมวลชนและภาคประชาสังคมในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจก่อนเข้าคูหา การออกแบบบัตรเลือกตั้งที่มีข้อมูลผู้สมัครและพรรคการเมืองให้ครบถ้วน การกำหนดให้พรรคเดียวใช้เบอร์เดียวกันสำหรับผู้สมัคร สส. ทุกเขต และผู้สมัคร สส. บัญชีรายชื่อ เป็นต้น
อ้างอิง
- บทความข่าว มติศาลรัฐธรรมนูญ 6:1 ให้ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง ปิดทางประชาชนเลือก สสร. โดยตรง? โดย BBC News ไทย
- บทความข่าว พริษฐ์ ชี้ช่อง กกต.จัดออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขต ผ่านทางไปรษณีย์ ให้ลงทะเบียนร่วมเลือกตั้ง สส.ล่วงหน้านอกเขต โดยมติชน
- บทความข่าว พรรคประชาชน ยื่นเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ต่อประธานรัฐสภา โดย สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา
- บทความโดย iLaw
- เปิดพ.ร.บ.ประชามติฯ แก้ไขใหม่ หาข้อยุติง่ายขึ้นใช้เสียงข้างมากธรรมดา ประชาชนเข้าชื่อออนไลน์เสนอทำประชามติได้
- ถ้ายุบสภาแม้แก้รัฐธรรมนูญไม่เสร็จ ยังทำประชามติเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ได้ ครม. มีอำนาจเคาะคำถามทันที
- เปิดพ.ร.บ.ประชามติฯ แก้ไขใหม่ หาข้อยุติง่ายขึ้นใช้เสียงข้างมากธรรมดา ประชาชนเข้าชื่อออนไลน์เสนอทำประชามติได้
- กกต.บรีฟสื่อ เตรียมความพร้อมก่อนเลือกตั้งพร้อมประชามติ 2569
- บทความ สรุปรายงานปัญหาและความผิดปกติในการนับคะแนนวันเลือกตั้งที่ถูกรายงานเข้ามาที่ vote62 โดย Rocket Media Lab
- พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ๒๕๖๔
- พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๘
