งบคลาวด์ 69 : ต้องลงทุนอีกแค่ไหน ถึงจะได้คลาวด์ดี ๆ (เหมือนคนอื่นเขา🤔)?

“การปรับปรุงระบบราชการให้ทันสมัยเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ รัฐบาลคาดหวังว่า เมื่อระบบดีขึ้นแล้วประชาชนจะสามารถติดต่อสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนได้รับบริการที่ดีขึ้น ประชาชนลดค่าใช้จ่าย และลดความยุ่งยากในการติดต่อกับระบบราชการ”

นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงวิสัยทัศน์ถึง ‘นโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy)’ ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ณ งาน AWS Summit in Bangkok ซึ่งนโยบายนี้จะเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนารัฐบาลและเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านการเพิ่มการลงทุนในโครงการสร้างคลาวด์

คำว่า ‘คลาวด์ (Cloud)’ อาจฟังดูเป็นคำศัพท์เทคนิคในแวดวงไอทีที่คนทั่วไปอาจไม่คุ้นชินมากนัก แต่ถ้ามองให้ใกล้ตัวมากขึ้น จริง ๆ แล้วคลาวด์เป็นสิ่งที่เราทุกคนอาจใช้อยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัว เช่น การฝากรูปไว้บน iCloud หรือ Google Photos การเข้าถึงอีเมลใน Gmail หรือข้อมูลประวัติการแชทในแอปพลิเคชัน LINE ที่เราสามารถเข้าใช้งานได้แม้จะอยู่บนโทรศัพท์เครื่องอื่น ๆ นี่คือ ความสะดวกสบายที่ข้อมูลถูกจัดเก็บและประมวลผลอยู่บนคลาวด์ ทำให้ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน

แต่ในทางกลับกัน ความสะดวกสบายแบบ ‘เชื่อมโยงข้อมูล’ นี้กลับไม่ค่อยปรากฏให้เห็นในระบบราชการไทย เราหลายคนอาจเคยสัมผัสประสบการณ์ที่ชวนให้ตั้งคำถาม เช่น

เคยไหม? ตอนที่เราเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล แล้วต้องวิ่งวุ่นไปแจ้งแก้ไขข้อมูลในเอกสารราชการมากมาย เช่น โฉนดที่ดิน ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ หรือสัญญาต่าง ๆ ทั้งที่ข้อมูลของเราถูกแก้ไขในทะเบียนราษฎร์แล้ว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ระบบราชการไทยทำงานแบบต่างคนต่างทำภายในบ้านหลังเดี่ยว ๆ ของตัวเอง กรมที่ดินมี ‘บ้าน’ ของตัวเองที่เก็บข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับที่ดิน สภาวิชาชีพต่าง ๆ มี ‘บ้าน’ ของตัวเองที่เก็บข้อมูลใบอนุญาต ส่วนทะเบียนราษฎร์ (ที่เก็บชื่อ-นามสกุลของเรา) ก็อยู่ใน ‘บ้าน’ ของกรมการปกครอง การที่ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของเราไม่ถูกเชื่อมโยงหรืออัปเดตอัตโนมัติระหว่าง ‘บ้าน’ เหล่านี้ ทำให้ประชาชนต้องรับบทเป็นผู้ส่งสารวิ่งถือเอกสารจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่งจนเสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น

เพราะหน่วยงานรัฐต่างซื้อ ‘ที่ดิน’ และสร้าง ‘บ้าน’ ของตัวเองขึ้นมา ไม่ได้ใช้ ‘ที่ดินส่วนกลาง’ หรือ ‘โครงสร้างพื้นฐานกลาง’ ร่วมกัน ทำให้เงินภาษีที่เก็บจากประชาชนต้องนำไปสร้างสิ่งซ้ำซ้อนอยู่เรื่อย ๆ

‘ที่ดิน’ ในที่นี้คือ เซิร์ฟเวอร์ หรือเครื่องบริการแม่ข่าย ซึ่งเป็นรากฐานรองรับการทำงานของระบบต่าง ๆ และ ‘บ้าน’ เปรียบเสมือนระบบ แอปพลิเคชัน และฐานข้อมูล ทั้งสองสิ่งนี้ประกอบกันเป็นระบบการทำงานของหน่วยงานราชการแต่ละแห่ง การที่หน่วยงานต่างซื้อที่ดินและสร้างบ้านเป็นของตัวเอง หมายถึงการสิ้นเปลืองงบประมาณจากการที่ต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์เผื่อไว้ หรือการซื้อโปรแกรมพื้นฐานที่คล้าย ๆ กัน (เช่น ระบบเก็บข้อมูล) แถมยังทำให้เชื่อมโยงข้อมูลกันได้ยากทั้งที่สามารถใช้ร่วมกันได้ เมื่อบ้านแต่ละหลังตั้งอยู่โดด ๆ การจะส่งข้อมูลหากันจึงต้องใช้เวลาและขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้น หน่วยงานหลายแห่งยังหวงบ้านไม่ยอมเปิดให้เชื่อมต่อจนประชาชนต้องเป็นคนเดินเอกสารไปทีละหลังเสียเอง

การนำ คลาวด์ เข้ามาใช้ จึงเปรียบเสมือนการสร้าง ‘ที่ดินส่วนกลางขนาดใหญ่’ ซึ่งบนที่ดินนั้น รัฐบาลก็จะสร้าง ‘คอนโดมิเนียม’ หรือ บ้านหลังใหญ่หลังเดียวแทนบ้านเดี่ยว ที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และมี ‘ห้อง’ ให้แต่ละหน่วยงานมาเช่าใช้ตามขนาดที่ต้องการ แต่ละหน่วยงานทั้งกรมขนส่งฯ หรือกรมการปกครองก็จะไม่ต้องไปซื้อเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง หรือซื้อระบบใหม่ แต่มา ‘เช่าพื้นที่’ หรือ ‘ใช้บริการ’ ทรัพยากร IT ส่วนกลางแทน ซึ่งการตั้งอยู่บนที่ดินเดียวกันหมายถึงการสร้างเครือข่ายที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลหากันระหว่างแต่ละหน่วยงานได้ด้วย การส่งข้อมูลหากันก็จะรวดเร็วทันใจ เพราะหน่วยงานเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทำให้ประเทศสามารถลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ และที่สำคัญที่สุด ประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งถ่ายสำเนาเอกสารเพื่อยื่นขอทำเอกสารราชการอีกต่อไป!

ย้อนรอยเส้นทางคลาวด์ภาครัฐ : จากจุดเริ่มต้นถึงปัจจุบัน

  • แนวคิดการใช้คลาวด์ภาครัฐเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นครั้งแรก ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 เมื่อรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการพูดถึงบริการคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud Service) โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาการใช้งบประมาณซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบ IT ผ่านการบูรณาการและให้บริการข้อมูลข้ามหน่วยงานรัฐได้อย่างเป็นระบบ รวดเร็ว ปลอดภัย พร้อมทั้งได้เปิดตัว ‘ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC)’ ระบบกลางในการให้บริการคลาวด์สำหรับหน่วยงานรัฐบาล
  • วันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ได้มีการอนุมัติหลักการโครงการ GDCC ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ด้วยกรอบงบประมาณ 4,752 ล้านบาท (ต่อเนื่อง 3 ปีตั้งแต่ปี 2563-2565) เพื่อ สร้างโครงสร้างพื้นฐาน คือ ระบบกลางจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ (Cloud Service), การรองรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Big Data) และพัฒนาบุคลากร
  • วันที่ 14 ธันวาคม 2565 คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้รายงานผลการดำเนินงานของโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐว่าสามารถลดงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลลงได้ประมาณ 854 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 54.6% จากงบประมาณ 1,106 ล้านบาท และ ณ ขณะนั้น GDCC ได้ให้บริการหน่วยงานภาครัฐไปแล้ว 224 กรม 934 หน่วยงาน 3,201 ระบบงาน และ 36,778 VM
  • เมื่อเข้าสู่ยุครัฐบาลภายใต้ นายเศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 11 กันยายน 2566 รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาถึง นโยบาย Cloud First Policy โดยกล่าวว่า นโยบายนี้คือ การวางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน ปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล ทำให้ประชาชนสามารถรับบริการจากรัฐได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มความมั่นคงปลอดภัย
  • ด้านกระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวว่า จะมีการพัฒนาบริการคลาวด์กลาง GDCC อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบคลาวด์ไม่ใช่แค่พื้นที่ในการเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในโลกดิจิทัล โดยเน้นไปที่การสร้างคุณค่าและประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ภาคประชาชน รวมถึงต่อยอดการทำงานที่เพิ่มประสิทธิภาพให้สอดคล้องกับนโยบาย Cloud First Policy เพื่อให้เป็นคลาวด์กลางภาครัฐที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
  • วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลจัดทำแนวทางการจัดทํางบประมาณตามนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก โดยจะเริ่มใช้ในปี 2568 เป็นต้นไป
  • ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่าจะผลักดัน GDCC และตั้งเป้าขยายการใช้งานคลาวด์ภาครัฐสู่ 200,000 VM ภายในปี 2568 จากเดิมที่ให้บริการได้เพียง 40,000 VM โดยมีหน่วยงานยื่นขอใช้บริการแล้วกว่า 1,200 แห่ง  

ร่างงบประมาณ 69 : เมื่องบลงทุนสร้างคลาวด์ก้อนใหญ่กลับมาอีกครั้ง

ในร่างงบประมาณปี 2569 งบประมาณที่ใช้กับโครงการคลาวด์ของประเทศกลับมาพุ่งสูงถึง 4,484 ล้านบาท ประกอบด้วย 51 โครงการใน 47 หน่วยงาน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 212% จากปี 2568

เมื่อพิจารณาในภาพรวมงบประมาณที่ผ่านมา จะเห็นว่านับตั้งแต่การอนุมัติโครงการ GDCC ในยุครัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา งบประมาณก้อนแรกที่ถูกใช้ไปกับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์คือ 4,752 ล้านบาท (ต่อเนื่อง 3 ปีตั้งแต่ปี 2563-2565) และลดลงอย่างมากในปี 2566 เหลือเพียง 18 ล้านบาท ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้งในรัฐบาลเพื่อไทย (ปี 2567-2569) จนงบประมาณในปี 2569 ซึ่งเป็นงบประมาณสำหรับเพียง 1 ปี กลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับงบประมาณเริ่มต้นที่เคยใช้สร้าง GDCC ในช่วง 3 ปีแรก (4,484 ล้านบาท เทียบกับ 4,752 ล้านบาท)

สมัยรัฐบาลปีงบประมาณงบประมาณ (ล้านบาท)
ประยุทธ์ จันทร์โอชางบคลาวด์รวมปี 2563-25654,752
ประยุทธ์ จันทร์โอชางบคลาวด์ปี 256618
เศรษฐา ทวีสินงบคลาวด์ ปี 2567515
แพทองธาร ชินวัตรงบคลาวด์ ปี 25681,437
แพทองธาร ชินวัตร(ร่าง) งบคลาวด์ ปี 25694,484

งบคลาวด์ 69 ก้อนใหม่ที่ใกล้เคียงกับงบลงทุนเริ่มต้น บอกอะไรเราได้บ้าง?

หากงบประมาณ 4,752 ล้านบาทเมื่อปี 2563-2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อ ‘สร้าง’ โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์กลางภาครัฐไปแล้ว งบประมาณ 4,484 ล้านบาทในปี 2569 ที่พุ่งขึ้นมานี้มีวัตถุประสงค์อะไร?

จากข้อมูลการจัดสรรประเภทค่าใช้จ่ายในโครงการคลาวด์ปี 2569 เมื่อนำรายการค่าใช้จ่ายมาแบ่งประเภทใหม่อีกครั้ง จะพบประเด็นที่น่าสนใจอย่างค่าใช้จ่ายประเภท ‘ค่าจัดหาและเช่าใช้บริการระบบคลาวด์‘ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ที่นำโด่งถึง 3,778.6 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 84.3% ของงบคลาวด์ทั้งหมด

ประเภทรายการค่าใช้จ่ายงบประมาณ (ล้านบาท)สัดส่วน
ค่าจัดหาและเช่าใช้บริการระบบคลาวด์3,778.684.3%
ค่าพัฒนาระบบและแพลตฟอร์ม4259.4%
ครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์1342.9%
ค่าจ้างเหมาบริการ871.9%
ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมบุคลากร0.10.01%
อื่น ๆ59.21.3%
รวม4,484100%

คำถามคือ ทำไมงบประมาณในการจัดหาและเช่าใช้บริการระบบคลาวด์จึงมีจำนวนสูงที่สุด ทั้ง ๆ ที่ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์ในช่วงปี 2563-2565 ไปแล้ว? ทั้งนี้ อาจพิจารณาได้ว่ามีความเป็นไปได้ในสองแนวทาง คือ

  1. ใช้เพื่อขยายขีดความสามารถของ GDCC เอง งบส่วนนี้อาจถูกใช้เพื่อ ลงทุนเพื่ออัปเกรดอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์และระบบที่จำเป็น เพื่อเพิ่ม ‘สิ่งอำนวยความสะดวก’ และขยาย ‘ห้อง’ ภายใน GDCC หรือคอนโดมิเนียมของรัฐ ซึ่งจะช่วยรองรับความต้องการใช้งานที่พุ่งสูงขึ้นถึง 200,000 VM ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ หากเป็นในแนวทางนี้ ข้อสังเกตที่น่าตั้งคำถามคือ รัฐลงทุน ‘สร้างคอนโด’ ด้วยเงินก้อนโต แต่เมื่อสร้างเสร็จและมีคนมาอาศัย กลับพบว่าต้องเพิ่มการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยเงินมหาศาลเพื่อ ‘สร้างห้องเพิ่ม’ และ ‘ปรับปรุงฟังก์ชัน’ ภายในคอนโด ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ ‘ลูกบ้าน’ หรือ ‘หน่วยงานรัฐ’ ต้องการ เช่น โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข ของ สดช. ที่ใช้งบประมาณกว่า 293.2 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ หากเป็นตามสมมติฐานนี้ ต้นทุนของระบบอาจสูงเกินกว่าที่ประเมินไว้ และกลายเป็นภาระระยะยาวที่รัฐต้องแบกรับ ซึ่งต้องพิจารณาต่อว่าจะกำหนดทิศทางการลงทุนนี้อย่างไรเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด
  2. ใช้เพื่อเช่าใช้บริการจากผู้ให้บริการคลาวด์เอกชนภายนอกเป็นหลัก เงินก้อนนี้อาจถูกนำไปจ่ายให้บริษัทเอกชนภายนอก เช่น AWS, Google Cloud หรือผู้ให้บริการคลาวด์เอกชนรายอื่น ๆ เพื่อ ‘เช่าห้อง’ หรือ ‘ใช้บริการ’ คลาวด์ของพวกเขาโดยตรง ในกรณีนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า GDCC อาจมีข้อจำกัดด้านศักยภาพ ความยืดหยุ่น หรือเทคโนโลยีเฉพาะทาง ที่ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการคลาวด์เอกชน เพื่อรองรับระบบคลาวด์เฉพาะด้านที่ตอบโจทย์การใช้งานของหน่วยงานแทน แม้โดยหลักการที่เมื่อลงทุนสร้างสิ่งหนึ่งมาแล้วก็ควรใช้งาน แต่เมื่อทางเลือกหลักอย่าง GDCC ไม่ตอบโจทย์ ทางเลือกอื่น ๆ อย่างการเช่าใช้บริการคลาวด์ของเอกชน จึงอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า ทั้งในแง่ของความยืดหยุ่น ความคุ้มค่า และการตอบสนองต่อความต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งนี้ การใช้บริการคลาวด์จากหลายผู้ให้บริการยังสร้างความท้าทายสำคัญ คือ ผู้ให้บริการแต่ละรายมีโครงสร้างและมาตรฐานทางเทคนิคที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาในการบูรณาการข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มต่าง ๆ และปัญหาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างไร้รอยต่อในภาครัฐ หากเป็นเช่นนี้ สิ่งที่รัฐต้องทบทวน คือ แนวทางการบริหารจัดการ ’ทรัพยากรโครงสร้างระบบคลาวด์’ ที่มีอยู่ต้องสอดคล้องกับความต้องการจริงของหน่วยงาน เพื่อความคุ้มค่าของงบประมาณที่ลงทุน และประสิทธิภาพของระบบคลาวด์ภาครัฐในระยะยาว

ท่ามกลางเม็ดเงินมหาศาลที่เทให้โครงสร้างพื้นฐานและค่าเช่าระบบ ในทางกลับกัน ‘ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมบุคลากร’ มีสัดส่วนเพียง 0.01% หรือประมาณ 1 แสนบาทเท่านั้น

ลองนึกภาพว่าเรามีคอนโดอัจฉริยะ แต่ไม่มีคนรู้วิธีเปิดประตู หรือเปิดไฟห้อง แบบนี้ต่อให้ตึกจะไฮเทคแค่ไหน ก็ไม่มีใครใช้ได้เต็มที่อยู่ดี ความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับความพร้อมและทักษะของคนหรือบุคลากรภาครัฐที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน

รายงานและการวิเคราะห์หลายชิ้นพบว่า หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการขับเคลื่อนระบบคลาวด์ภาครัฐ คือ “บุคลากรไม่เพียงพอและขาดองค์ความรู้ที่เหมาะสมในการจัดหา พัฒนา ดูแล และบริหารจัดการบริการคลาวด์” แม้จะมีหน่วยงานอย่างสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) หรือสถาบันพัฒนาบุคลากรภาครัฐด้านดิจิทัล (TDGA) ที่จัดทำหลักสูตรและช่องทางการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและคลาวด์ให้กับข้าราชการแล้ว แต่สัดส่วนงบประมาณที่จัดสรรให้กับการพัฒนาทักษะดิจิทัลของบุคลากรภาครัฐนี้อาจยังไม่เพียงพอ และเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้แม้จะมี ‘คอนโดมิเนียมอัจฉริยะ’ ที่เพียบพร้อม แต่ก็อาจไม่มี ‘ผู้อยู่อาศัย’ ที่มีความสามารถเพียงพอในการใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่และยั่งยืน

Top 6 หน่วยรับงบประมาณคลาวด์ สดช. หัวเรือใหญ่คุมงบคลาวด์ 2,655 ล้านบาท ตามมาด้วย สพฐ. 724 ล้านบาท

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนงบประมาณตามหน่วยรับงบประมาณในปี 2569 จะเห็นว่ามีทั้งหมด 47 หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณเพื่อจัดทำโครงการคลาวด์ โดยที่กว่า 59.2% หรือ 2,655.6 ล้านบาท อยู่กับ สดช. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดูแล GDCC และขับเคลื่อนนโยบายภาพรวม ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับการจัดสรรที่ 16.2% หรือ 724 ล้านบาท

ลำดับหน่วยรับงบประมาณงบประมาณ (ล้านบาท)สัดส่วน
1สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)2,655.659.2%
2สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน72416.2%
3สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)1533.4%
4กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น152.63.4%
5สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล136.93%
6สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข136.13%

การที่ สดช. ได้รับงบประมาณมากที่สุดนั้นอาจสอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ แต่สิ่งที่น่าพิจารณาต่อคือ ในจำนวนนี้มีถึง 38 หน่วยงานที่ได้รับงบไม่ถึง 1% ของงบคลาวด์รวมทั้งหมด หาก สดช. ได้รับเงินก้อนใหญ่เพื่อสร้างและบริหาร ‘คอนโด’ และ สพฐ. ได้รับเงินเพียงพอที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในคอนโดแล้ว คำถามคือ หน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้รับงบประมาณเพียงเศษเสี้ยว (ไม่ถึง 1%) เหล่านี้ จะมีเงินทุนและทรัพยากรเพียงพอที่จะ ‘รื้อบ้านเก่า’ และ ‘ย้ายเข้าคอนโดใหม่’ ได้อย่างไร? โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลในการผลักดันประเด็นนี้ อาจเป็นการวางแผนแผนงานที่ชัดเจนในการสนับสนุนหน่วยงานที่เหลือ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลเป็นไปอย่างทั่วถึงและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นับตั้งแต่งบคลาวด์ก้อนแรกในปี 2563-2565 ที่เริ่มต้นด้วยเม็ดเงิน 4,752 ล้านบาท จนถึงงบก้อนปัจจุบันในร่างงบประมาณปี 2569 ที่เสนอวงเงิน 4,484 ล้านบาท ประเทศไทยได้ทุ่มงบประมาณกว่า 11,206 ล้านบาท ภายในเวลา 7 ปี เพื่อพัฒนาระบบคลาวด์ภาครัฐ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศด้วยคลาวด์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังเกิดคำถามสำคัญที่ภาครัฐต้องชี้แจงต่อประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘แผนการบริหารต้นทุนระยะยาว’ เป็นอย่างไร? เมื่อค่าใช้จ่ายดูจะเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะเหตุใดจึงยังละเลย ‘การลงทุนในคน’ ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบ? และความพยายามสร้าง ‘คอนโดกลาง’ นี้ ได้เปิดประตูให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาอยู่ร่วมกันจริงหรือไม่ ในเมื่อหลายหน่วยยังได้รับงบเพียงหยิบมือ

เพราะ ‘คอนโดภาครัฐ’ หรือ ‘คลาวด์ภาครัฐ’ ที่ดี ไม่ใช่แค่ต้องสวยหรือทันสมัย แต่ต้องมีการลงทุนที่คุ้มค่า ผู้อยู่อาศัยที่พร้อมใช้งาน และแผนงานที่ทำให้ทุกหน่วยงานเข้ามาอยู่ร่วมกันได้จริง ไม่เช่นนั้น เราอาจกำลังสร้างอาคารหรูกลางเมืองที่ลงทุนสร้างส่วนต่อขยายไปเรื่อย ๆ แต่ไร้ผู้อยู่อาศัย และคนเข้าไปอยู่ไม่ได้จริง

อ้างอิง