เกาหลีใต้สั่นสะเทือนชั่วข้ามคืน เมื่อประธานธิบดีเกาหลีใต้ ยุน ซอก-ยอล (Yoon Suk Yeol) ประกาศกฎอัยการศึกขึ้นมาในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 โดยอ้างว่าเพราะต้องการปราบปรามกองกำลังต่อต้านรัฐและภัยคอมมิวนิสต์จากเกาหลีเหนือ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการจัดการกับการเมืองภายใน ที่น่าตกใจก็เพราะนี่ถือเป็นการประกาศกฎอัยการศึกในรอบ 45 ปีของเกาหลีใต้นับตังแต่ยุค ช็อน ดู-ฮวัน (Chun Doo-hwan) ในปี 2522 แต่ในครั้งนี้กลับจบอย่างรวดเร็วหลังสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของเกาหลีใต้ 190 คนจาก 300 คน ที่บางคนต้องปีนรั้วเพื่อเข้าไปในสภาเพราะเจ้าหน้าที่ทหารปิดล้อมอยู่ ได้โหวตลงมติยกเลิกกฎอัยการศึก ทั้งยังมีการประท้วงของประชาชนที่ไม่เห็นกับประกาศกฎอัยการศึก และเรียกร้องให้ ยุน ซอก-ยอล ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี
กฎอัยการศึก (Martial Law) คือ ระบบกฎหมายในสถานการณ์ไม่ปกติ เป็นกฎหมายประเภทหนึ่งซึ่งบังคับใช้ในเฉพาะยามจำเป็นอันไม่อาจใช้มาตรการทางกฎหมายอื่นได้ โดยเจ้าหน้าที่ทหารจะขึ้นมามีอำนาจและทำหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่พลเรือนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปราม เพื่อทำให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติ และต้องประกาศใช้ใน “ยามจำเป็น” เท่านั้น กฎอัยการศึกมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในประเทศไทยมีการตรากฎอัยการศึกครั้งแรกใน พ.ศ. 2450 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกว่า กฎอัยการศึก ร.ศ. 126 โดยถอดแบบมาจากกฎอัยการศึกของประเทศฝรั่งเศส และกาลต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกเลิกกฎอัยการศึก ร.ศ. 126 และตราเป็น พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 เนื่องจากอำนาจของเจ้าหน้าที่ทหารไม่ตรงกับระเบียบพิชัยสงครามและเพื่อปรับเปลี่ยนให้ทันยุคมากขึ้น และได้แก้ไขเพิ่มเติมอีก 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 5 ได้แก้ไขใน พ.ศ. 2502
กฎอัยการศึกได้ถูกบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 และบัญญัติคล้ายคลึง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โดยมีใจความสำคัญว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้และยกเลิกใช้กฎอัยการศึก และหากมีเรื่องเร่งด่วน เจ้าหน้าที่ทหารสามารถกระทำได้ตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก
- แต่มีเพียงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นฉบับที่ร่างขึ้นมาในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ขบวนการต่อสู้ของประชาชนได้ลุกฮือออกมาไล่ขับเผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ระบุบทบัญญัติว่าด้วยกฎอัยการศึกในมาตรา 193 ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้กฎอัยการศึก ตามลักษณะและวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะแห่งเป็นการรีบด่วน เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารย่อมกระทำได้ตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก กฎอัยการศึกตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง จะมีผลใช้บังคับเกิน 30 วันได้อีก เป็นระยะเวลาเท่าใด ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ หรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภา ทำหน้าที่รัฐสภาในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสาม”
นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทยที่รัฐสภาและวุฒิสภาเข้ามามีส่วนรวมตรวจสอบกฎอัยการศึกและกำหนดระยะเวลา เพราะรัฐธรรมนูญของไทยที่เหลือที่ตามมาไม่ได้ระบุถึงวรรคสามและวรรคสี่ของมาตรานี้เพื่อสร้างการถ่วงดุลทางอำนาจระหว่างสภาและเจ้าหน้าที่ทหารเลย
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอันเป็นกฎหมายสูงสุดและกฎอัยการศึก รัฐธรรมนูญกลายเป็นเพียงฐานรองรับให้กับกฎอัยการศึกที่มีอำนาจหน้าที่เต็มไม้เต็มมือ ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยและขัดแย้งกับลำดับขั้นของกฎหมาย เพราะมาตรา 2 ระบุว่าหากมีการประกาศกฎอัยการศึก มีข้อกฎหมายที่ขัดกับกฎอัยการศึก ให้ใช้กฎอัยการศึกแทน เนื่องจากกฎอัยการศึกไม่เคยมีการปรับแก้มาตั้งแต่ปี 2502 หรือ 65 ปีมาแล้วทำให้ตัวกฎอัยการศึกไม่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน เป็นดั่งมรดกตกทอดในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ในโอกาสวันวันรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 ธันวาคม ทาง Wevis ขอพาผู้อ่านทุกคนย้อนไปดูว่าแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ผ่านการประกาศใช้กฎอัยการศึกมาแล้วกี่ครั้ง ใครประกาศ ประกาศตอนไหน และใช้เพื่ออะไรบ้าง
ประเทศ | ผู้ประกาศใช้ | ปีที่ประกาศ | สาเหตุ | ประเภท |
---|---|---|---|---|
กัมพูชา | ลอน นอล | 31/05/2513 | ทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ | สงคราม |
กัมพูชา | ฮุน เซน | 10/04/2563 | Covid-19 | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ลาว | นายพลภูมี หน่อสวรรค์ | 10/08/2503 | ปราบปรามการรัฐประหารของร้อยเอกกองแล วีระสาน | รัฐประหาร |
ไทย | พระยาพหลพลพยุหเสนา | 12/10/2476 | กบฏบวรเดช | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ไทย | จอมพล ป. พิบูลสงคราม | 07/01/2484 | สงครามอินโดจีน | สงคราม |
ไทย | จอมพล ป. พิบูลสงคราม | 10/12/2484 | สงครามเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) | สงคราม |
ไทย | จอมพล ป. พิบูลสงคราม | 30/06/2494 | กบฏแมนฮัตตัน | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ไทย | จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ | 16/09/2500 | รัฐประหารรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม | รัฐประหาร |
ไทย | จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ | 20/10/2501 | รัฐประหารยึดอำนาจจอมพล ถนอม กิตติขจร (ตามที่ตกลงกันไว้) | รัฐประหาร |
ไทย | พลเอกถนอม กิตติขจร | 17/11/2514 | รัฐประหารยึดอำนาจตนเอง | รัฐประหาร |
ไทย | พลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ | 06/10/2519 | รัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช | รัฐประหาร |
ไทย | พลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ | 20/10/2520 | รัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร | รัฐประหาร |
ไทย | พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ | 23/02/2534 | รัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ | รัฐประหาร |
ไทย | พล.ท.พงษ์ศักดิ์ เอกบรรณสิงห์ แม่ทัพภาคที่ 4 | 05/01/2547 | แก้ไขความขัดแย้งชายแดนใต้ | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ไทย | พล.ท.พงษ์ศักดิ์ เอกบรรณสิงห์ แม่ทัพภาคที่ 4 | 26/01/2547 | แก้ไขความขัดแย้งชายแดนใต้ | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ไทย | พล.ท. ขวัญชาติ กล้าหาญ แม่ทัพภาคที่ 4 | 3/11/2548 | แก้ไขความขัดแย้งชายแดนใต้ | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ไทย | พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน | 19/09/2549 | รัฐประหาร พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ไทย | พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ | 20/05/2557 | ปรามปรามจลาจล | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ไทย | พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ | 22/05/2557 | รัฐประหารนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | รัฐประหาร |
ฟิลิปปินส์ | รามอน บลังโก | 30/08/2439 | มาตรการต่อต้านกลุ่มโจร และการปฏิวัติ | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ฟิลิปปินส์ | เอมีลีโอ อากีนัลโด | 24/05/2441 | ประกาศเอกราชจากสเปนและจัดตั้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | สงคราม |
ฟิลิปปินส์ | โฮเซ เป. เลาเรล | 21/09/2487 | ประกาศสงครามกับกองกำลังพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 | สงคราม |
ฟิลิปปินส์ | เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส | 23/09/2515 | ปราบปรามภัยคอมมิวนิสต์ | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ฟิลิปปินส์ | กลอเรีย มาคาปากัล-อาร์โรโย | 4/12/2552 | ปราบปรามตระกูลอัมปาตวน และจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับคดีสังหารหมู่คู่แข่งการเมือง 58 ในกินดาเนา | ปราบปรามความขัดแย้ง |
ฟิลิปปินส์ | โรดริโก ดูเตอร์เต | 23/05/2560 | ปรามปรามความขัดแย้งในเกาะมินดาเนา | ปราบปรามความขัดแย้ง |
อินโดนีเซีย | ซูการ์โน | 18/12/2500 | ปราบปรามรัฐบาลปฏิวัติแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (PRRI) | ปราบปรามความขัดแย้ง |
อินโดนีเซีย | ซูฮาร์โต | 2533 | ปราบปรามขบวนการอาเจะฮ์เสรี | ปราบปรามความขัดแย้ง |
อินโดนีเซีย | นายพลวิรันโต | 2542 | ปรามปรามการแยกตัวเป็นอิสระของติมอร์ตะวันตก | ปราบปรามความขัดแย้ง |
อินโดนีเซีย | เมกาวตี ซูการ์โนปุตรี | 19/05/2546 | ปราบปรามขบวนการอาเจะฮ์เสรี | ปราบปรามความขัดแย้ง |
อินโดนีเซีย | ยูโด มาร์โกโน | 18/04/2562 | ปราบปรามชาวปาปัวตะวันตกและกองทัพปฏิบัติการปาปัวเสรี | ปราบปรามความขัดแย้ง |
เมียนมา | ซอ หม่อง | 27/07/2553 | ปราบปรามการลุกฮือของประชาชนจากการประท้วง | ปราบปรามความขัดแย้ง |
เมียนมา | เต็งเส่ง | 18/02/2558 | ปราบปรามกลุ่มกบฏโกก้าง | ปราบปรามความขัดแย้ง |
เมียนมา | มิน อ่อง หล่าย | 01/02/2564 | รัฐประหารและปราบปราบกองทัพต่อต้านรัฐบาล | ปราบปรามความขัดแย้ง |
เวียดนามใต้ | โง ดิ่ญ เสี่ยม | 21/8/2506 | ปราบปรามคอมมิวนิสต์ | ปราบปรามความขัดแย้ง |
สิงคโปร์(ภายใต้บริติชมาลายา) | อาเธอร์ เพอร์ซิวาล | 31/12/2485 | สงครามเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) | สงคราม |
ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั้งหมด 35 ครั้ง
- ประเทศที่ประกาศกฎอัยการศึกมากที่สุดคือ ไทย ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั้งหมด 16 ครั้ง ใช้เพื่อรัฐประหาร 8 ครั้ง กบฏ 2 ครั้ง สงคราม 2 ครั้ง แก้ไขความขัดแย้งชายแดนใต้ 3 ครั้ง และปราบปรามการชุมนุม 1 ครั้ง
- ประเทศที่รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ ประกาศทั้งหมด 6 ครั้ง ใช้เพื่อปราบปรามความขัดแย้ง 4 ครั้ง และในการสงคราม 2 ครั้ง
- ลำดับที่ 3 คือ อินโดนีเซีย ประกาศใช้ทั้งหมด 5 ครั้ง ซึ่งใช้เพื่อปรามปรามความขัดแย้งทั้งหมด
- ลำดับที่ 4 คือ เมียนมาร์ ประกาศใช้ทั้งหมด 3 ครั้ง ใช้เพื่อปราบปรามการประท้วง 2 ครั้ง และรัฐประหาร 1 ครั้ง
- ลำดับที่ 5 คือ กัมพูชา ประกาศใช้ทั้งหมด 2 ครั้ง คือปราบปรามคอมมิวนิสต์ 1 ครั้ง และจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19)
- และลำดับ 6 ร่วม ได้แก่ ลาว เวียดนามใต้ และสิงคโปร์ ประกาศใช้ทั้งหมด 1 ครั้ง ลาวใช้เพื่อตอบโต้การรัฐประหาร เวียดนามใต้ใช้เพื่อปราบปรามคอมมิวนิสต์ และสิงคโปร์ (ภายใต้บริติชมาลายา) ประกาศใช้สำหรับสงครามเอเชียบูรพา
อย่างไรก็ตาม กฎอัยการศึกไม่ได้เป็นเพียงกฎหมายเดียวที่มีการประกาศใช้เมื่อมีสถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง แต่ยังมีกฎหมายอีก 2 ฉบับที่มักใช้ควบคู่กัน ได้แก่ พ.ร.บ. กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
เปรียบเทียบกฎหมาย 3 ฉบับ
ประเด็น | กฎอัยการศึก | พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ | พ.ร.บ. ความมั่นคง |
---|---|---|---|
สถานการณ์ที่ต้องใช้ | มีเหตุจำเป็น เช่นสงครามภายในหรือภายนอก | มีสถานการณ์ฉุกเฉิกหรือสถานการณ์ฉุกเฉิกร้ายแรง | มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคง |
ผู้สามารถประกาศใช้ | -มีประกาศพระบรมราชโองการ -ผู้บังคับบัญชาทหาร | นายกรัฐมนตรี | ครม. มีมติมอบหมายให้ กอ.รมน. รับผิดชอบ |
พื้นที่ | ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งประเทศ | ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งประเทศ | ครม.มีมติมอบหมายให้ กอ.รมน. รับผิดชอบ |
อำนาจตามกฎหมาย | เจ้าหน้าทหารมีอำนาจเหนือกว่าเจ้าหน้าที่พลเรือน และมีอำนาจเต็มที่ในการตรวจค้น ยึด ทำลาย – ศาลทหารพิจารณาพิพากษาคดีอาญา | -สั่งเคอร์ฟิว -สามารถห้ามนำเสนอข่าวได้ -ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุม -ตรวจสอบจดหมาย โทรศัพท์ยับยั้งการสื่อสาร -ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม -ห้ามการใช้หรือเข้าอยู่ในสถานที่ที่กำหนด | -สั่งเคอร์ฟิว -ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม -ห้ามการใช้หรือเข้าอยู่ในสถานที่ที่กำหนด |
การจับกุมและการควบคุมตัว | จับกุมได้โดยไม่มีหมายจับ และควบคุมตัวได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล แต่ต้องไม่เกิน 7 วัน | ต้องมีหมายจับในการจับกุม ควบคุมตัวได้ไม่เกิน 7 วัน และสามารถขยายเวลาควบคุมได้ไม่เกิน 30 วัน | ไม่มีอำนาจในการควบคุมตัว ใช้การควบคุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา |
ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ | ไม่ต้องรับผิดชอบ | สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ | สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ |
ระยะเวลา | จนกว่าจะมีพระบรมราชโองการยกเลิก | ไม่เกิน 3 เดือนแต่สามารถขยายระยะเวลาได้ | จนกว่าเหตุความมั่นคงจะสงบ |
ในประเทศมีการสั่งใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ทั้งหมด 9 ครั้ง ประกอบไปด้วย
เรื่อง | รัฐบาล | วันที่ประกาศ | วันสิ้นสุด | ระยะเวลา (วัน) | ความฉุกเฉิน |
---|---|---|---|---|---|
การแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง | สมัคร สุนทรเวช | 02/09/2551 | 14/09/2551 | 13 | ฉุกเฉิน |
การแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง | สมชาย วงศ์สวัสดิ์ | 27/11/2551 | 9/12/2551 | 13 | ฉุกเฉินร้ายแรง |
การแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง | อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | 11/04/2552 | 11/04/2552 | 1 | ฉุกเฉินร้ายแรง |
การแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง | อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | 12/04/2552 | 24/04/2552 | 13 | ฉุกเฉินร้ายแรง |
การแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง | อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | 07/04/2553 | 21/12/2553 | 259 | ฉุกเฉินร้ายแรง |
การแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | 21/01/2557 | 19/03/2557 | 58 | ฉุกเฉินร้ายแรง |
การแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 15/10/2563 | 22/10/2563 | 8 | ฉุกเฉินร้ายแรง |
การป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 26/03/2563 | 30/09/2565 | 919 | ฉุกเฉิน |
การแก้ไขปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ | ทักษิณ ชินวัตร | 20/07/2548 | ยังคงประกาศใช้งาน | 7082 (นับต่อเรื่อย ๆ ) | ฉุกเฉินร้ายแรง |
ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เพื่อแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง 7 ครั้ง แก้ไขปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 1 ครั้ง และป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อีก 1 ครั้ง
การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่ยาวนานที่สุดคือ การแก้ไขปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประกาศตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2548 นับตั้งแต่สมัยนายกฯทักษิณ ชินวัตร และดำเนินมากกว่า 19 ปี และการประกาศใช้ที่สั้นมากคือการใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมืองในสมัยนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีระยะเวลาทั้งหมด 1 วัน เนื่องจาก นปช. บุกเข้าไปในโรงแรมซึ่งเป็นพื้นที่จัดการประชุมอาเซียน
ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคง มีการประกาศใช้ทั้งหมด 43 ครั้ง ในกรณีดังต่อไปนี้
รัฐบาล | ปัญหาการชุมนุมทางการเมือง | ปัญหาชายแดนภาคใต้ |
---|---|---|
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | 16 | 4 |
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | 8 | 4 |
ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 9 | |
เศรษฐา ทวีสิน | 1 | |
แพทองธาร ชินวัตร | 1 |
ผู้ประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคง มากสุดคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้ไปทั้งหมด 20 ครั้ง เป็นการแก้ไขการชุมนุมทางการเมือง 16 ครั้ง และเพื่อควบคุมสถานการณ์ปัญหาชายแดนภาคใต้ 4 ครั้ง
และการประกาศใช้เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่กระทบต่อภัยความมั่นในชายแดนใต้ มักจะเป็นการต่ออายุ พ.ร.บ. ความมั่นคงไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในแต่ละพื้นที่ แต่มักจะแทนที่ให้พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงแทน ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนให้พื้นที่บริเวณนั้นดีขึ้น
การประกาศใช้กฎหมายพิเศษทั้ง 3 ฉบับ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยโครงการส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมฯ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ให้ความคิดเห็นว่า
“จริงๆ รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิหรือให้การคุ้มครองเอาไว้สูงกว่า แต่ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบและการประกาศใช้กฎหมายพิเศษทำให้เกิดข้อยกเว้น แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ต้องตระหนักด้วยว่า มีสิทธิบางประการที่ห้ามยกเว้น เช่น ห้ามซ้อมทรมาน ห้ามตัดขาดการติดต่อกับบุคคลภายนอก ฉะนั้นการห้ามเยี่ยมไม่สามารถทำได้ รวมทั้งการบันทึกรายชื่อบุคคลต้องสงสัยไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ซึ่งอาจเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ด้วย เรื่องต่างๆ เหล่านี้คงต้องอาศัยการรณรงค์ให้เกิดความเข้าใจและแก้ไขกฎระเบียบที่ละเมิดสิทธิประชาชนต่อไป”
จากสถิติการประการศใช้กฎอัยการศึกทั้งในไทยและประเทศในแถบอาเซียน มักประกาศไล่เลี่ยในช่วงเวลาเดียวคือช่วงสงครามเย็นและใช้เพื่อปราบปรามการลุกฮือของประชาชนโดยอ้าง “ความมั่นคงของรัฐ” ในขณะที่ไทยมักประกาศใช้ตอนทำการรัฐประหาร รวมไปถึงการประกาศใช้กฎหมายพิเศษที่บังคับใช้อย่างต่อเนื่องยาวนานในจังหวัดชายแดนใต้ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารสามารถใช้อำนาจต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องรับผิดชอบ รวมถึงการฉีกรัฐธรรมนูญที่ควรจะเป็นกฎหมายลำดับชั้นสูงสุดทิ้งและเขียนใหม่ทุกรอบเนื่องจากไม่เคยมีการปรับแก้ไขเกี่ยวกับอำนาจของกฎอัยการศึกและกลไกจัดการคนทำรัฐประหาร
หากวันหนึ่งรัฐธรรมนูญมีความศักดิ์สิทธิ์และมีกลไกในการป้องการการรัฐประหาร เอาผิดต่อผู้กระทำผิดได้ เมื่อนั้นวันรัฐธรรมนูญจะไม่ใช่แค่วันหยุดธรรมดา ๆ วันหนึ่ง แต่น่าจะมีความหมายในใจของคนไทยหลาย ๆ คนได้จริง
บทความโดย
พีรกิตติ์ ศรีกุล – Project Coordinator Intern
อ้างอิง
- สิริญา แสงอำนาจ (2563) กฎอัยการศึก : ศึกษามโนทัศน์ สถานะ และการปรับใช้ในระบบกฎหมายไทย และระบบกฎหมายต่างประเทศ