Content by

เมื่อ ‘สิทธิเข้าถึงข้อมูล’ ติดหล่ม (เกือบ) 3 ทศวรรษ: เปิดปัญหา พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ที่รอการแก้ไข

9,806 คือจำนวนเอกสาร ‘คำสั่ง/คำวินิจฉัย’ จาก ‘คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร’ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 จนถึง พ.ศ. 2568 ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร นับตั้งแต่มีการใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 (ไม่รวมกับเอกสารที่ไม่ได้มีการเผยแพร่บนเว็บไซต์)

นั่นหมายถึง 27 ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลได้ทำหน้าที่วินิจฉัยคำอุทธรณ์ไปแล้วเกือบหมื่นครั้ง หรือแปลว่าหน่วยงานภาครัฐปฏิเสธการร้องขอข้อมูลจากประชาชนจากสิทธิตามกฎหมายไปแล้วเกือบหมื่นครั้งเช่นเดียวกัน! (นี่ยังไม่รวมกับที่ประชาชนไม่ขออุทธรณ์นะ 😅)

หลังจากที่เราได้ชนะการอุทธรณ์การขอเข้าถึงชุดข้อมูลงบประมาณรายจ่ายฯ คณะกรรมาธิการสามัญ สภาผู้แทนราษฎร มาแล้ว (อ่านได้ที่ EP.1) เราอยากรู้จักคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้มากขึ้น

เอ๊ะ?! ‘เขา’ วินิจฉัยเรื่องอะไรกันถึงเยอะขนาดนี้? แล้วเรื่องอะไรบ้างที่หน่วยงานรัฐมี ‘สิทธิ’ ที่จะปกปิดเรา หรือเรื่องอะไรบ้างที่เรามี ‘สิทธิ’ ที่จะได้รับรู้ตั้งแต่แรกโดยที่ไม่ต้องร้องขอ? แล้วอะไรที่อาจจะพอช่วยแบ่งเบาภาระคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้บ้างนะ?

ชวนรู้จักและทำความเข้าใจกับ ‘พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540’ รวมไปถึง คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร คนเหล่านี้เป็นใคร และมาจากไหนกัน

‘เขา’ – ผู้ดูแลการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารราชการในไทย เป็นใคร? มาจากไหน?

พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ระบุไว้ถึง ‘คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ’ (กขร.) ว่าประกอบไปด้วย รัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกเก้าคนเป็นกรรมการ และให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งข้าราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นเลขานุการ และอีกสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ (แค่อ่านก็ตาลาย..😵‍💫😵‍💫😵‍💫 แต่เอาเป็นว่า เขาแต่งตั้งกันรัว ๆ !)

สรุปให้สั้น ๆ ก่อนสับสน คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) ทำหน้าที่เหมือนเป็น ‘ผู้ดูแลภาพรวม’ หรือ ‘ผู้กำหนดทิศทาง’ ของการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร

  • หน้าที่หลัก:
    • วางแผนและกำกับดูแล: ดูแลและให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐทั่วประเทศเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลให้เป็นไปตามกฎหมาย
    • ออกกฎเกณฑ์: เสนอแนะให้ออกกฎหมายลูก หรือระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นระบบและชัดเจนขึ้น
    • รับเรื่องร้องเรียนเบื้องต้น: ถ้าประชาชนมีปัญหาเรื่องข้อมูลข่าวสาร เช่น หน่วยงานไม่ยอมเปิดเผย หรือไม่เปิดเผยข้อมูลให้ตามกฎหมาย ก็มาร้องเรียนที่นี่ก่อน
    • ส่งไม้ต่อ: เมื่อรับเรื่องร้องเรียนแล้ว ถ้าเป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐ ‘ปฏิเสธ’ ไม่ให้ข้อมูล กขร. ก็จะส่งเรื่องต่อไปให้ ‘คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร’ (กวฉ.) ช่วยตัดสิน

คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (กวฉ.) ทำหน้าที่เหมือน ‘ผู้พิพากษา’ หรือ ‘ผู้ตัดสินชี้ขาด’ ในกรณีที่หน่วยงานรัฐมีความเห็นไม่เปิดเผยข้อมูล (ทั้งกรณีกับประชาชนและหน่วยงานรัฐกันเอง)

  • กวฉ. ทำอะไรและประกอบไปด้วยสาขาอะไรบ้างนะ?
    • ตัดสินชี้ขาด: เมื่อประชาชนไปขอข้อมูลจากหน่วยงานรัฐแล้วถูกปฏิเสธ กวฉ. จะเข้ามาพิจารณาว่าหน่วยงานนั้นปฏิเสธถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และเมื่อ กวฉ. ตัดสินแล้วว่าควรเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูล คำตัดสินนั้นถือเป็น “ที่สุด” และหน่วยงานรัฐต้องปฏิบัติตาม ไม่มีสิทธิโต้แย้ง
    • มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน: กวฉ. จะถูกแบ่งเป็นคณะย่อย ๆ ตามสาขาความเชี่ยวชาญ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมืออาชีพและรอบด้าน โดย กวฉ. ถูกแบ่งออกเป็นคณะกรรมการย่อย ๆ 5 สาขา ได้แก่
      • สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย
      • สาขาการแพทย์และสาธารณสุข
      • สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมและการเกษตร
      • สาขาการต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ
      • สาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ

ซึ่งในกรณีที่บางคำร้อง ไม่มีแนวทางตามกฎหมายระบุไว้ กวฉ. ก็สามารถใช้ ‘ดุลยพินิจ’ ได้ตามเห็นสมควร ..

และแน่นอนว่า กวฉ. ผู้ที่มี ‘อำนาจเด็ดขาด’ ในการวินิจฉัยเรื่องความเหมาะสมของการเปิด/ไม่เปิดเผยข้อมูล พวกเขาเล่านี้ ก็มาจากการแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรีอีกเช่นเดียวกัน! โดยชุดล่าสุด (ปี พ.ศ. 2567) มีจำนวนทั้งหมด 55 คน แบ่งออกเป็น

  • ด้านสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย 28 คน
  • ด้านการแพทย์และสาธารณสุข 7 คน
  • ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมและการเกษตร 7 คน
  • ด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ 7 คน
  • ด้านเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ 6 คน

จากที่กล่าวไปตั้งแต่ตอนแรกว่า 9,806 (หรืออาจจะมากกว่านี้..🤔) คือจำนวนเอกสาร ‘คำสั่ง/คำวินิจฉัย’ จาก ‘คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร’ และด้วยอำนาจหน้าที่ของ กวฉ. ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนด่านสุดท้ายในการชี้ขาดว่าประชาชน ‘ควร’ หรือ ‘ไม่ควร’ ได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ตามที่ร้องขอ ทำให้เราสังเกตว่า แล้วด่านแรก ๆ มีปัญหาอะไรกันนะ? ทำไมถึงไม่เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตั้งแต่แรกล่ะ?

จากข้อมูลคำวินิจฉัยที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทำให้เราเห็นว่า ปัญหาการไม่เปิดเผยข้อมูลจากต้นทาง มักจะไปตกอยู่ที่ ‘คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย’ ซึ่งวินิจฉัยไปแล้วมากถึง 9,000 กว่าคำร้อง! นั่นหมายถึงที่ผ่านมามีการส่งเรื่องเข้ากระบวนการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับด้านการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายเป็นส่วนมาก

และจากการสแกนดูด้วยตาเนื้อไว ๆ ในเอกสารเกือบหมื่นฉบับ ที่พวกเราเองก็อาจจะเปิดดูทั้งหมดไม่ไหว 🥲 เลยได้ลองสุ่มเปิดเอกสารในแต่ละสาขาดูว่าส่วนมากคำร้องที่กว่าจะตกมาถึงด่านสุดท้ายนั้น มักจะเป็นคำขออุทธรณ์เรื่องการสืบหาหรือสอบสวนข้อเท็จจริงในประเด็นต่าง ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการทุจริต การทำผิดทางวินัย เอกสารการจัดซื้อจัดจ้าง รายละเอียดโครงการ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับตัวบุคคล (ข้าราชการ) ซึ่งจริง ๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้บางประเด็นอาจสามารถเปิดเผยได้เลยหรือไม่นะ? หากไม่ส่งผลกระทบกับข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (Sensitive Personal Data) หรือกระบวนการทางกฎหมายที่ยังไม่แล้วเสร็จ

และสิ่งที่น่าสนใจต่อมาคือ ‘แนวโน้มผลการวินิจฉัย’ ว่าเป็นไปในทิศทางใดบ้าง? ซึ่งคำวินิจฉัยส่วนใหญ่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. ให้ ‘จำหน่ายเรื่องอุทธรณ์และนำเรื่องออกจากสารบบ’: คำตัดสินประเภทนี้ไม่ได้เป็นการบอกว่าใครถูกใครผิดในเนื้อหาของเรื่อง แต่เป็นการ “ยุติการพิจารณา” เรื่องนั้น ๆ โดยที่ กวฉ. ไม่ได้ตัดสินว่าจะต้องเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลนั้น เหตุผลอาจมีหลายอย่าง เช่น หน่วยงานไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูล ผู้ขอข้อมูลอาจจะถอนคำร้องไปเอง หน่วยงานอาจจะยอมให้ข้อมูลแล้วในภายหลัง หรือเอกสารคำร้องไม่สมบูรณ์ ทำให้เรื่องไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้

2. ให้ ‘ยกอุทธรณ์’: นี่คือคำตัดสินที่บอกว่า “ไม่เป็นไปตามคำขอ” พูดง่าย ๆ คือ คณะกรรมการ กวฉ. พิจารณาแล้ว เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหน่วยงานรัฐ ที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลนั้น ๆ หมายความว่าข้อมูลที่ประชาชนขออาจยังคงเป็นความลับต่อไป ด้วยเหตุผลที่หน่วยงานและ กวฉ. มองว่าสมเหตุสมผลตามกฎหมาย เช่น อาจเป็นข้อมูลที่กระทบความมั่นคง ข้อมูลส่วนบุคคล ความลับทางราชการ หรือกระบวนทางกฎหมายยังไม่แล้วเสร็จ

3. ให้ ‘เปิดเผยข้อมูล’ ได้ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย: หลาย ๆ เรื่องจากทั้งหมดส่วนใหญ่ผลมักออกมาเป็นการวินิจฉัยให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้ แต่อาจจะขอร้องให้หน่วยงานช่วยปกปิดข้อมูลในประเด็นเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เกี่ยวข้อง เพราะอาจกระทบกับกฎหมาย PDPA

แต่จากการดูเอกสารแบบคร่าว ๆ เราพอจะมองเห็นว่า ท้ายที่สุดแล้ว กวฉ. ก็พยายามที่จะให้หน่วยงานเปิดเผยข้อมูลตามที่ประชาชนร้องขอมา หากไม่มีผลกระทบทางกระบวนการทางกฎหมายหรือกระบวนการอะไรบางอย่างที่ยังไม่แล้วเสร็จเสียเป็นส่วนมาก

ดังนั้น หากมองย้อนกลับไปที่ต้นเหตุ แล้วทำไมหน่วยงานรัฐถึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลมาให้ตั้งแต่แรก? เพราะในความเป็นจริงแล้วกระบวนการการนำเรื่องเข้าสู่ กวฉ. เพื่อวินิจฉัยคำร้องเหล่านี้ กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการนั้นใช้เวลาขั้นต่ำเป็นหลักเดือน หรือบางทีอาจจะต้องรอข้ามปี โดยเฉพาะหากอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านการแต่งตั้ง กวฉ. ชุดใหม่ (WeVis เคยรอมาแล้วเป็นปี! – ช่วงปีพ.ศ. 2566-2567) ซึ่งก็อาจทำให้ประชาชนอาจท้อกับการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐไปแล้วก็ได้…

ในฐานะประชาชนที่มีสิทธิตามกฎหมาย ก็ควรจะเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และบางทีหน่วยงานรัฐก็ควรเปิดเผยข้อมูลบางอย่างโดยที่ไม่ต้องรอให้ประชาชนร้องขอหรือไม่?

เพราะปัจจุบัน รัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศ เช่น อังกฤษ แคนาดา หรือองค์กรระหว่างประเทศอย่าง World Bank ต่างยกระดับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐด้วยการรับรอง หลักการ Open Data Charter (ODC) มาใช้เป็นกรอบนโยบายการเปิดเผยข้อมูล เพื่อส่งเสริมความโปร่งใส ความรับผิดรับชอบ และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยหลักการทั้ง 6 ข้อของ ODC ได้แก่

  1. เปิดเผยเป็นค่าเริ่มต้น (Open by Default) ข้อมูลที่ไม่กระทบความมั่นคงหรือสิทธิส่วนบุคคลควรเปิดโดยอัตโนมัติ
  2. ทันเวลาและครบถ้วน (Timely and Comprehensive)
  3. เข้าถึงง่ายและใช้ได้จริง (Accessible and Usable) ต้องอยู่ในรูปแบบเปิดที่อ่านเครื่องได้ ไม่ใช่ PDF สแกน
  4. เปรียบเทียบและเชื่อมโยงได้ (Comparable and Interoperable)
  5. พัฒนาการบริการและการมีส่วนร่วม (Improved Governance and Citizen Engagement)
  6. สนับสนุนการพัฒนาอย่างทั่วถึง (Inclusive Development and Innovation)

ข้อเสนอของพวกเรานั้น เรามองว่าข้อมูลที่เราเห็นว่าภาครัฐสามารถ ‘เปิดเผย’ ได้เลย โดยที่ประชาชนอย่างเรา ๆ ไม่ต้องมาทำเรื่องร้องขอให้วุ่นวายหลายขั้นตอน เช่น ข้อมูลงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง ข่าวสารราชการ เอกสารข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรภาครัฐ ผลสอบสวนทางวินัย ข้อมูลการประชุม และข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นประเทศไทยควรนำหลักการเหล่านี้มาเป็นแนวทางกำหนดว่าข้อมูลประเภทใดควรเผยแพร่โดยอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องรอคำวินิจฉัยจากคณะกรรมการกลางแต่อย่างใด หรือไม่ กวฉ. หรือ กขร. เอง ก็อาจจะต้องควรมีสรุปแนวคำวินิจฉัย ที่เป็นเหมือนมาตรฐาน หรือ Guideline ให้กับประชาชนว่าข้อมูลใดสามารถเปิดเผยได้ หรือ ข้อมูลใด จำเป็นจะต้องปกปิด เพื่อให้ประชาชนสามารถนำสิ่งนี้ไปใช้อ้างอิงกับหน่วยงานรัฐต่าง ๆ โดยไม่ต้องมีการปฏิเสธแล้ววนเรื่องกลับเข้ามาที่ กวฉ. อีกซ้ำ ๆ

ร่างพ.ร.บ.ความหวังใหม่ – กับการแก้กฎหมายเพื่อการเข้าถึงข้อมูลรัฐให้ดีกว่าเดิม

และหากมองไปที่ต้นทางมากกว่านั้น ผลของเหตุการณ์การเข้าถึงข้อมูลที่สุดแสนจะยากลำบากเหล่านี้อาจมาจากต้นเหตุที่เรียกว่า ‘พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540’ แม้ในตัว พ.ร.บ. นี้จะได้มีการวางกรอบ “เปิดเผยเป็นหลัก ปิดเป็นข้อยกเว้น” โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดและเผยแพร่ข้อมูลสำคัญ เช่น โครงสร้าง หน้าที่ และวิธีการปฏิบัติงานให้ประชาชนตรวจสอบได้ แต่ในเวลาเดียวกัน กฎหมายฉบับนี้ก็เป็นปัญหา เนื่องมาจากกำหนดเงื่อนไข “ข้อมูลที่ไม่ต้องเปิดเผย” ไว้หลายมาตรา เพื่อให้หน่วยงานสามารถปิดกั้นข้อมูลบางประเภทได้ตามดุลพินิจ เช่น อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงหรือสิทธิส่วนบุคคล ปัญหาคือ ในทางปฏิบัติ หน่วยงานมักเลือกปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลก่อน โดยไม่ชี้แจงเหตุผลอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้เกิดการอุทธรณ์กลับมาที่ กวฉ. ไปมา อย่างที่ได้เราได้หยิบยกตัวอย่างมา

และที่น่าประหลาดใจไปมากกว่านั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แทบไม่เคยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนไหนริเริ่มเสนอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้อย่างจริงจังเพื่อให้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน รวมถึงสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม

แต่ท่ามกลางความท้าทายในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ขณะนี้ได้มีข้อเสนอจากรัฐสภาเพื่อยกระดับและปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเป็นรูปธรรม ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และอาจลดปัญหาจากต้นทาง เช่น หน่วยงานภาครัฐ เพราะอาจทำให้ภาครัฐมีข้อกฎหมายที่ระบุชัดเจนครอบคลุมถึงกฎเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลมากยิ่งขึ้น และอาจลดภาระให้ กวฉ. ได้พิจารณาแต่ในเรื่องสำคัญ ๆ เพื่อให้กระบวนการวินิจฉัยทั้งหมดที่เหลือออกมามีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

ใจความสำคัญของข้อเสนอกฎหมายใหม่นี้ ยังคงกรอบความคิดเดิมคือการยึดมั่นในหลักการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” (Open by Default) หมายความว่าข้อมูลสาธารณะของรัฐต้องถูกเปิดเผยโดยอัตโนมัติ เว้นแต่กรณีจำเป็นตามกฎหมาย แต่นอกจากนั้น ร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่ที่ถูกเสนอไปยังมีแนวคิดให้ ‘กำหนดรายการ’ ข้อมูลพื้นฐานที่ต้องเปิดเผยหรือปกปิด และส่งเสริมการจัดเก็บในรูปแบบดิจิทัล เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงและตรวจสอบ รวมถึงมีการเสนอปรับปรุงเรื่องมาตรการดูแลข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เปิดเผย กำหนดมาตรฐานการจัดการข้อมูลลับและข้อมูลส่วนบุคคลให้ชัดเจนขึ้น และวางกลไกการติดตามตรวจสอบ การเปิดเผยและการใช้ข้อมูลของรัฐให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ข้อเสนอเหล่านี้คือ ก้าวสำคัญในการเพิ่มพลังให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล และส่งเสริมความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง

พวกเราก็ได้แต่หวังว่าในอนาคตอันไม่ช้า เราจะได้มีกฎหมายการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐฉบับใหม่ ที่สะท้อนบริบทสังคมปัจจุบันและเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มุ่งส่งเสริมวัฒนธรรมความสุจริตโปร่งใส รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

เพื่อเป็นการมอบอำนาจให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของรัฐได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยที่มีคุณภาพต่อไป