นับถอยหลังสู่สนามเลือกตั้งท้องถิ่นไซส์มินิ ในศึกเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลหรือ ‘อบต.’ ที่ได้ครบวาระไปเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งทำให้การเลือกตั้งเพื่อเลือกผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล (นายก อบต.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) ครั้งใหม่จะเกิดขึ้นในวันที่ 11 มกราคม 2569
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุก อบต. จะมีการจัดเลือกตั้งเพื่อเลือกทั้งนายก อบต. และ ส.อบต. ในวันดังกล่าว เพราะในท้องถิ่นบางแห่ง มีนายก อบต. ชิงลาออกก่อนครบวาระและอาจจัดการเลือกตั้งก่อนวันดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างเช่น
“นายก อบต. พิจิตร ชิงลาออกก่อนครบวาระ พ.ย. 68 เพิ่มอีก 4 คน รวมแล้ว 8 เอกชนอัดเปลืองงบเลือกตั้ง “ (วันที่ 19 สิงหาคม 2568-มติชน)
”นายไพโรจน์ ดินแดง นายก อบต. เขาทอง จังหวัดกระบี่ ประกาศลาออกพร้อมเหตุผลว่าในห้วงเวลา 90 วันต่อจากนี้ไม่สามารถขับเคลื่อนการทำงานในกระบวนการสำคัญต่าง ๆ ได้ตามเป้าหมาย เป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานและการบริการประชาชน” (วันที่ 7 สิงหาคม 2568-ศูนย์ข่าวท้องถิ่นกระบี่)
หากมองกรณีนี้เป็นเหรียญสองด้าน เหรียญด้านแรกอาจเป็นเทคนิคของนายก อบต. คนเดิมที่ต้องการรณรงค์หาเสียงโดยไม่ติดเงื่อนไขทางกฎหมาย และอีกด้านอาจเป็นการช่วงชิงความพร้อมทางการเมืองที่ทำให้ผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งฝ่ายตรงข้ามไม่มีเวลาเตรียมตัวมากพอในการลงแข่งขัน
Disclaimer: เนื้อหาในบทความชิ้นนี้วิเคราะห์จากข้อมูลในโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “รับฟังความคิดเห็นเพื่อการแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒” โดยคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับเครือข่าย We Watch
การลาออกก่อนครบวาระ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับการเมืองท้องถิ่น
ในกรณีของ อบต. การพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระของผู้บริหารท้องถิ่นมาจากหลายสาเหตุ หากตัดเรื่องการโดนเพิกถอนตำแหน่งโดยศาลแล้ว เหตุผลการการลาออกของนายก อบต. ยังคงวนเวียนและคล้ายคลึงกับการลาออกกลางคันของผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อื่น ๆ อย่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาล ไม่ว่าจะเป็น ลาออกเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งทางการเมือง ลาออกเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง หรือ ลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายที่ทำให้การทำงานในช่วงท้ายวาระมีข้อจำกัด รวมไปถึงเพื่อลดกรอบเวลาการคิดคำนวณค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง
บทวิเคราะห์ของณัฐกร วิทิตานนท์ เรื่องแรงจูงใจของผู้บริหารท้องถิ่นในการลาออกก่อนครบวาระในแบบต่าง ๆ ยังชี้ให้เห็นว่าทางเลือกเหล่านี้สร้างต้นทุนให้การเมืองท้องถิ่น ทั้งในแง่การแข่งขัน การใช้งบประมาณเพื่อจัดการเลือกตั้ง และการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน

การชิงลาออกก่อนครบวาระถูกใช้เป็นเกมการเมืองเพื่อสร้างความได้เปรียบ
การชิงลาออกก่อนครบวาระมักถูกใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองของผู้สมัครผู้บริหารฯ คนเดิมที่ช่วงชิงความได้เปรียบในเรื่องเวลาการเตรียมตัวจากการที่ผู้สมัครรายอื่นที่ยังขาดความพร้อม
การชิงลาออกก่อนครบวาระเอื้อให้เกิดการผูกขาดอำนาจ
หากมีการเลือกตั้งนายก อบต.ไปก่อนหน้าแล้ว การเลือกตั้ง ส.อบต. ที่ติดตามมาย่อมมีการแข่งขันน้อยลง เพราะมักมีแต่กลุ่มการเมืองในฟากฝั่งเดียวกับผู้บริหารเท่านั้นที่ส่งคนลงสมัคร ทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติอาจมาจากกลุ่มการเมืองเดียวกัน ส่งผลให้ระบบตรวจสอบอำนาจขาดประสิทธิภาพ ซึ่งการเลือกตั้งพร้อมกันมีความเป็นไปได้มากกว่าในการได้สมาชิกสภาที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับผู้บริหารฯ
การเลือกตั้งมากกว่า 1 ครั้งย่อมสิ้นเปลืองงบประมาณของท้องถิ่น
การเลือกตั้งท้องถิ่นแต่ละครั้งอาศัยเงินงบประมาณของ อปท. นั้น ๆ เอง อาจมาจากการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการเลือกตั้งโดยตรง หรือการเกลี่ยงบประมาณจากส่วนอื่นมาใช้ ซึ่งโดยปกติแล้วการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นจะจัดขึ้นในวันเดียวกัน การลาออกก่อนครบวาระและไม่ได้จัดการเลือกตั้งนายก อบต. พร้อมกับการเลือกตั้ง ส.อบต. ย่อมเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแบบซ้ำซ้อน
การเลือกตั้งท้องถิ่นที่ไร้ระบบการอำนวยความสะดวกประชาชน อาจลดความตื่นตัวของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
การเลือกตั้งที่มีบ่อยครั้งในระยะเวลาที่กระชั้นชิดส่งผลต่อความตื่นตัวของประชาชนโดยตรง และต้องไม่ลืมว่ามาตรการการอำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสนามท้องถิ่นยังมีน้อยกว่าการเลือกตั้งทั่วไป (เลือกตั้ง สส.) เพราะเลือกตั้ง อบต. ไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขตและนอกราชอาณาจักร
ด้วยสาเหตุเหล่านี้ การชิงลาออกก่อนครบวาระสร้างผลกระทบต่อระบบการเมืองท้องถิ่นในเชิงขั้วอำนาจ งบประมาณท้องถิ่น และการออกไปใช้สิทธิของประชาชน ซึ่งต่างลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการประชาธิปไตยในระดับฐานราก
ปรับทางเลือกใหม่เพื่อแก้ไขปัญหา ’ลาออกกลางวาระ‘
สาเหตุที่ทำให้เกิด ‘การลาออกกลางวาระ’ ของผู้บริหารท้องถิ่นมาจากข้อกำหนดของกฎหมายท้องถิ่นที่ในมุมหนึ่ง ’บีบคั้น’ ผู้บริหารท้องถิ่นให้เลือก เพื่อเลี่ยงเงื่อนไขที่จะทำให้ตัวเองมีปัญหา และในอีกมุมที่ ‘เปิดโอกาส’ ให้ผู้บริหารท้องถิ่นเลือกใช้เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง
ข้อเสนอที่ 1 ปรับข้อกฎหมายควบคุมวิธีการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นให้เหมาะสมกับความเป็นจริง
พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มี 2 เงื่อนไขที่ทำให้นายก อบต. ตัดสินใจลาออกก่อนครบวาระ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการตีความกฎหมายที่อาจสุ่มเสี่ยงการโดนจับผิดและลงโทษจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาล เช่น สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง)

เงื่อนไขแรก: กรอบเวลาหาเสียง
กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นกำหนด ‘กรอบเวลา 180 วัน’ หรือประมาณ 6 เดือนก่อนวันครบวาระ ว่าเป็นช่วงที่ถือว่า ‘เริ่มหาเสียง’ แล้ว
อธิบายง่าย ๆ คือ ถ้านายก อบต. ที่กำลังดำรงตำแหน่งอยากลงสมัครอีกสมัย ทุกการกระทำในช่วง 6 เดือนนี้จะถูกนับว่าอยู่ในกรอบของกฎหมายเลือกตั้งทันที รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องถูกนำไปคิดรวมเป็น ‘ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง’ ทั้งหมด
แต่ถ้านายก อบต. เลือก ‘ลาออกจากตำแหน่ง’ ก่อนครบวาระ กฎระเบียบนี้ก็จะสลายหายไป เพราะเมื่อลาออกแล้ว การนับช่วงเวลาหาเสียงจะเริ่มต้นจากวันที่ประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ คือไม่เกิน 60 วันหรือประมาณ 2 เดือนหลังจากลาออกนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นบางคนจึงเลือกที่จะชิงลาออกก่อน เพื่อลดภาระในการแจ้งค่าใช้จ่ายให้เหลือน้อยลง และคุมวงเงินค่าใช้จ่ายไม่ให้เกินเพดานที่ทาง กกต. กำหนดได้ง่ายขึ้น
เงื่อนไขที่สอง: กรอบเวลางดทำกิจกรรมที่ส่อจูงใจการลงคะแนน
อีกช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องระวังคือ ‘90 วันก่อนครบวาระ’ หรือประมาณ 3 เดือนก่อนหมดสมัย กฎหมายระบุชัดว่าช่วงนี้ ‘ผู้บริหารท้องถิ่นห้ามทำกิจกรรมที่ส่อจูงใจให้ประชาชนลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนน’ ไม่ว่าจะเป็นต่อตัวเองหรือผู้อื่น
ตัวอย่างเช่น ห้ามให้ของ มอบผลประโยชน์ จัดงานเลี้ยง จัดงานรื่นเริงที่มีการโฆษณาหาเสียง หรืออนุมัติโครงการใหม่ที่อาจตีความได้ว่าเป็นการสร้างคะแนนนิยม
เพราะฉะนั้น หากมีการอนุมัติโครงการหรือจัดกิจกรรมลักษณะนี้ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนครบวาระ ก็อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งได้เช่นกัน
ทำให้ผู้บริหารท้องถิ่นบางคนจึง ‘เลือกที่จะลาออกก่อนครบวาระ’ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการถูกร้องเรียน หรือให้ตัวเองหลุดพ้นจากกรอบเวลาที่อยู่ในตำแหน่งไปก็ทำอะไรไม่ได้ โดยให้เหตุผลในการลาออกที่ฟังดูเหมือนจะดีว่า “ไม่อยากให้การบริหารสะดุด และถ้าอยู่จนครบวาระ ก็จะไม่มีอำนาจบริหารต่อเนื่องอีกถึง 3 เดือน เลยตัดสินใจลาออกเพื่อให้ท้องถิ่นเดินหน้าต่อได้”

ดังนั้นแล้ว ข้อกฎหมายควบคุมวิธีการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นควรได้รับการพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสมกับความเป็นจริง โดยพิจารณาปรับปรุงกรอบเวลาหาเสียง 180 วันและการจัดทำโครงการในช่วง 90 วัน ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริหารท้องถิ่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่จนสิ้นสุดวาระ และการกำหนดแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการกระทำที่สุ่มเสี่ยงโดยไม่เจตนา เพื่อให้สามารถสร้างสมดุลระหว่างการป้องกันการทุจริตเลือกตั้งกับการอำนวยการบริหารราชการของ อปท. เพราะในทางปฏิบัติ ผู้บริหารท้องถิ่นควรบริหารท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องโดยไร้ข้อจำกัด
ข้อกำหนดที่เข้มงวดนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริหารและกระทบต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรวม การปรับแก้ในประเด็นนี้จะยังสามารถลดข้อกังวลของผู้บริหารท้องถิ่นที่ต้องการบริหารงานให้ครบวาระได้เช่นกัน
ข้อเสนอที่ 2 ส่งเสริมการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกันระหว่างฝ่ายบริหาร และฝ่ายสมาชิกสภา
ในปัจจุบัน กฎหมายเลือกตั้งของท้องถิ่น (พ.ร.บ. เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น/ผู้บริหารท้องถิ่นฯ) กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่นต่างกัน คือมีข้อยกเว้นสำหรับกรณีของสมาชิกสภาท้องถิ่น โดยถ้า ส.อบต. คนหนึ่งลาออกแล้วเหลือวาระการดำรงตำแหน่งเดิมไม่ถึง 180 วัน (6 เดือน) จะไม่จัดการเลือกตั้งใหม่ก็ได้ ในขณะที่ฝั่งผู้บริหารฯ ถ้ามีการลาออกแลว้ต้องจัดเลือกตั้งทันทีภายใน 60 วัน เงื่อนไขนี้ทำให้วาระของนายก อบต. และ ส.อบต. สิ้นสุดและเริ่มต้นไม่เท่ากันเมื่อมีการลาออกก่อนครบวาระเกิดขึ้น
ดังนั้นแล้ว หนึ่งทางออกของปัญหา ’ลาออกก่อนครบวาระ‘ คือการกําหนดวาระของผู้บริหารท้องถิ่นให้เท่ากับวาระของสมาชิกสภาท้องถิ่นเพื่อให้มีการเลือกตั้งพร้อมกัน โดยสามารถพิจารณาแก้ไขใน 3 ระดับ
ระดับที่ 1 ส่งเสริมการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกันระหว่างแต่ละฝ่าย (ฝ่ายบริหาร และฝ่ายสมาชิกสภา)
การปรับวาระผู้บริหารท้องถิ่นให้สอดคล้องกับวาระสมาชิกสภาท้องถิ่น สามารถทำได้โดยเพิ่มทางเลือกเกี่ยวกับมาตรการรองรับหรือป้องกันกรณีที่ผู้บริหารพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ เช่น
- เพิ่มระบบบัญชีรายชื่อผู้บริหารสำรอง ให้ผู้สมัครผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้สมัครนายก อบต. มีผู้บริหารสำรองในบัญชีที่ต้องแจ้งต่อสาธารณะช่วงก่อนการเลือกตั้ง หากนายก อบต. พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระด้วยเหตุผลใดก็ตาม ให้ผู้บริหารสำรองในบัญชีที่แจ้งไว้มาเป็นผู้บริหารแทนจนครบวาระ (เดิมเป็น ปลัด อบต. ปฏิบัติหน้าที่แทนชั่วคราวระหว่างมีการจัดการเลือกตั้งใหม่)
- หากมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ปรับวาระผู้บริหารฯ ให้เท่ากับเวลาที่เหลืออยู่ของฝ่ายสมาชิกสภา หากผู้บริหารลาออกก่อนครบวาระ และมีวาระเหลือมากกว่า 1 ปี ให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่โดยที่ผู้บริหารคนใหม่จะมีวาระการดำรงตำแหน่งเทียบเท่าเวลาที่เหลืออยู่ของฝ่ายสมาชิกสภา
- หากมีการยุบสภาท้องถิ่น ผู้บริหารฯ จะพ้นตำแหน่งไปด้วย


ระดับที่ 2 ส่งเสริมการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกันระหว่างแต่ละพื้นที่
ทางเลือกนี้คือการปรับวาระผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นในทุกพื้นที่ให้สอดคล้องกัน กล่าวคือ เลือกตั้ง อบต. พร้อมกันทั้งประเทศเพื่อให้เริ่มต้นและสิ้นสุดวาระพร้อมกัน โดยทางเลือกนี้ยังสามารถเพิ่มความตื่นตัวให้ประชาชนในเรื่องการใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นอีกด้วย

ระดับที่ 3 ส่งเสริมการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกันระหว่างแต่ละพื้นที่และแต่ละระดับ
ทางเลือกนี้คือการส่งเสริมให้การจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับเกิดขึ้นพร้อมกัน โดยประชาชนเลือกตั้ง อบจ. เทศบาล และ อบต. พร้อมกันในวันเดียว

การกําหนดวาระผู้บริหารท้องถิ่นให้เท่ากับสมาชิกสภาท้องถิ่นเพื่อให้มีการเลือกตั้งพร้อมกันมีผลประโยชน์อยู่หลายประการ เช่น
- อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้บริหารฯ และสมาชิกสภาท้องถิ่นพร้อมกันในครั้งเดียว
- ลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณท้องถิ่นในการบริหารจัดการเลือกตั้ง ทำให้ท้องถิ่นมีงบประมาณเหลือมากขึ้นในการจัดทำบริการสาธารณะ
- ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสมอภาค เพราะผู้สมัครทุกคนสามารถวางแผนเตรียมพร้อมเลือกตั้งล่วงหน้าได้อย่างทัดเทียมกัน
- กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวทางการเมืองในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวงกว้าง ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันคือการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเลือกตั้งให้ครบถ้วน ถูกต้องและผ่านหลากหลายช่องทาง
- ลดการเสียโอกาสของประชาชนในพื้นที่จากการที่ผู้บริหารท้องถิ่นได้ทำงานครบวาระเต็มทั้ง 4 ปี
ทางเลือกใหม่เกิดขึ้นได้เสมอ
แม้ในร่างกฎหมายท้องถิ่น 4 ฉบับที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 จะเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะในประเด็นการขยายสิทธิให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เช่น ปลดล็อกเกณฑ์อายุขั้นต่ำในการลงสมัครผู้บริหารท้องถิ่นเป็น 25 ปี ปรับระดับวุฒิการศึกษา และลดข้อจำกัดเรื่องวาระดำรงตำแหน่งของผู้บริหาร อบจ. แต่ร่างชุดดังกล่าวก็ยังคงไม่ได้แตะแก้ไขในเรื่องกลไกการจัดระเบียบ ‘วาระทางการเมือง’ ของนักการเมืองท้องถิ่นที่สร้างต้นทุนให้ประชาชนจากกรณีชิงลาออกก่อนครบวาระ เพราะเงื่อนไขทางกฎหมายที่เข้มงวดเกินความจำเป็นและความต้องการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองในพื้นที่
#ออกไปใช้สิทธิเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม และสิ่งที่คุณทำได้เพิ่มเติมคือสะท้อนปัญหานี้ให้ผู้กำหนดนโยบายเล็งเห็นถึงความสำคัญในการพิจารณาแก้ไข
WeVis เชิญชวนประชาชนกลับบ้านไปเลือกตั้ง อบต. 11 มกราคม 2569
เตรียมพร้อมซ้อมใช้สิทธิ รู้จัก อบต. และเตรียมพร้อมเข้าคูหา
อ้างอิง
- พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
- พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลำบลลบล.
- บทความ ทำไมผู้บริหารท้องถิ่นถึงลาออกก่อนครบวาระ? โดย The 101 World
- ข้อเสนอยกระดับการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร
- ศูนย์ข่าวท้องถิ่นกระบี่-รีวิวท่องเที่ยว
- บทความ ข่าว นายก อบต.พิจิตร ชิงลาออกก่อนครบวาระพ.ย.68 เพิ่มอีก 4 คน รวมแล้ว 8 เอกชนอัดเปลืองงบเลือกตั้ง โดยสำนักข่าวมติชน
- บทความ เลือกตั้ง อบต. เริ่มคึกคัก ‘พิจิตร-พิษณุโลก’ ใช้วิธีการลาออกก่อนครบวาระ โดย We Watch
- บทความ 5 สาเหตุที่ทำให้ต้องเลือกตั้งนายกอบจ. ก่อนครบวาระ โดย ilaw
